ความตึงผิว (Surface tension)
รูปที่ 1 แสดงปรากฏการณ์ของความตึงผิวที่พบเห็นในชีวิตประจำวัน ลักษณะของความตึงผิวแบบต่าง ๆ
รูปที่ 2 ตัวจิงโจ้น้ำ วิ่งบนผิวน้ำ
ความตึงผิว คือ
แรงต่อความยาวของผิวสัมผัส
(ความพยายามในการยึดผิวของของเหลว)
รูปที่ 3 แสดงโมเลกุลใต้พื้นผิวของของเหลว จะมีแรงกระทำระหว่างกันในทุกทิศทาง ขณะที่โมเลกุลที่พื้นผิว จะมีแรงกระทำจากด้านล่างเท่านั้น ซึ่งจะทำให้มีแรงตึงผิวเข้าสู่ศูนย์กลาง
ในของไหลทุกชนิดจะมีคุณสมบัติของแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล 2 ชนิด คือ รูปที่ 4 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างความตึงผิวและแรงดึงผิว ปรากฏการณ์ของความตึงผิว
1. การเกิดหยดของเหลว
( droplet )
เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นกับของเหลวที่มีขนาดเล็กและอยู่อย่างอิสระ
เช่น เม็ดของของเหลวในบรรยากาศ
หรือเม็ดของของเหลวที่เกิดจากหัวฉีดที่ฉีดของเหลวออกมาเป็นฝอยหรือละอองเล็กๆ
หรือเม็ดของของเหลวที่เกาะตามใบไม้
ซึ่งอิทธิพลของแรงตึงผิวจะพยายามปรับรูปร่างให้เม็ดของของเหลวมีลักษณะเป็นรูปทรงกลม
ทำให้แรงดันในหยดของเหลวมากขึ้น
เพื่อให้เกิดแรงต้านแรงตึงผิว เป็นผลให้หยดของเหลวคงสภาพอยู่ได้อย่างสมดุลถ้าพิจารณาหยดของเหลวทรงกลมที่มีรัศมี
r และความดันภายในหยดของเหลว P
โดย
รูปที่ 5 หยดปรอท: หยดเล็ก ๆ จะมีรูปร่างเป็นทรงกลม ขณะที่หยดที่ใหญ่กว่าจะเป็นทรงกลมแบน เนื่องจากแรงโน้มถ่วงของโลก
รูปที่ 6 หยดน้ำ
พอลิเมอร์ซิลิโคน
(silicone polymer) ที่เคลือบบนแก้ว/กระจก จะลด Adhesive forces
ระหว่างโมเลกุลของน้ำกับพื้นผิวทำให้น้ำไม่เกาะติดบนพื้นผิวของแก้ว/กระจก 2. คาพิลลาริตี้ ( capillarity ) คือปรากฏการณ์ที่ของไหลที่สัมผัสกับวัตถุแล้วมีลักษณะสูงขึ้นหรือต่ำลง เนื่องมาจากอิทธิพลของแรงยึดติดและแรงเชื่อมแน่น เช่น บริเวณที่น้ำสัมผัสกับผิวแก้ว จะมีระดับน้ำสูงขึ้นเล็กน้อย เพราะแรงยึดติดระหว่างโมเลกุลของน้ำกับโมเลกุลของแก้วมีมากกว่าแรงเชื่อมแน่นระหว่างโมเลกุลของน้ำ แต่ถ้าเป็นบริเวณที่ปรอทสัมผัสกับผิวแก้ว ระดับปรอทจะต่ำลงเล็กน้อย เนื่องจากเชื่อมแน่นระหว่างโมเลกุลของปรอทมีมากกว่าแรงยึดติดระหว่างโมเลกุลของปรอทกับโมเลกุลของแก้ว
รูปที่ 7 แสดง ผิวสัมผัสระหว่างน้ำกับแก้ว และปรอทกับแก้ว
เมื่อนำหลอดแก้วขนาดเล็กที่มีรัศมี r จุ่มลงในของไหลที่มีแรงยึดติดมากกว่าแรงเชื่อมแน่น จะเห็นของไหลสูงขึ้นเป็นระยะ h โดยของเหลวมีแรงดึงผิว F ทำมุม θ กับแนวดิ่ง
รูปที่ 8 แสดงความสัมพันธ์ของความสูงและความตึงผิว
|