
คนไม่สำคัญ แอนดรูว์ คาร์เนกี
ต้นแบบ "นายทุนใจบุญ "ผู้เต็มไปด้วยความย้อนแย้ง

เรื่อง : สฤณี อาชวานันทกุล
http://www.fringer.org
"ใครก็ตามที่ตายอย่างมั่งคั่ง
ตายอย่างน่าอัปยศอดสู" - แอนดรูว์ คาร์เนกี
ในบรรดาตำนานการสร้างตัวที่เหลือเชื่อระดับ
"จากดินสู่ดาว" หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า "from
rags to riches"
ตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมจวบจนปัจจุบัน
มีน้อยคนที่จะยิ่งใหญ่เท่า แอนดรูว์ คาร์เนกี
(Andrew Carnegie, ค.ศ. ๑๘๓๕-๑๙๑๙)
อภิมหาเศรษฐีชาวอเมริกัน
ชาวสกอตอพยพผู้สร้างธุรกิจเหล็กกล้าจากศูนย์จนเป็นผู้ครองตลาดอันดับหนึ่ง
ถึงแม้ว่าเขาจะล่วงลับไปกว่าค่อนศตวรรษแล้ว
เรื่องราวของคาร์เนกียังเป็นแรงบันดาลใจของสามัญชนจำนวนนับไม่ถ้วน
และคงจะเป็นเช่นนั้นไปตราบนานเท่านาน
ตราบใดที่คนเรายังฝันอยากจะเป็นเศรษฐีกันอยู่
หรืออย่างน้อยก็อยากใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างสุขสบายไร้กังวล

Braddock Carnegie
Library
ห้องสมุดคาร์เนกีที่เก่าแก่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา
สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1889 ตั้งอยู่ที่เมือง
Braddock รัฐเพนซิลวาเนีย
สามัญชนนอกประเทศสหรัฐอเมริกาอาจคิดถึงคาร์เนกีแต่ในฐานะนักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่
แต่สำหรับชาวอเมริกันหลายล้านคน เขาคือ
"บิดาแห่งการกุศล" ผู้มอบมรดกมหาศาลให้แก่สังคม
จนไม่อาจลืมเลือน ลำพังกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
เมืองหลวงของสหรัฐอเมริกาเพียงเมืองเดียว
ก็มีตำนานที่เป็นรูปธรรมของ คาร์เนกีหลายแห่ง
ไม่ว่าจะเป็นห้องสมุดคาร์เนกี (Carnegie Library)
และสาขา ๓ แห่ง, สถาบันคาร์เนกี (Carnegie
Institution)
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์อิสระชั้นนำของโลก,
มูลนิธิคาร์เนกีเพื่อสันติภาพระหว่างประเทศ
(Carnegie Endowment for International Peace)
องค์กรไม่แสวงหากำไรที่อาจเป็น "think tank"
แห่งแรกที่มีเครือข่ายและอิทธิพลระดับโลก
และสำนักงานของมหาวิทยาลัยคาร์เนกี เมลลอน
(Carnegie Mellon University)
มหาวิทยาลัยชั้นนำในกรุงพิตส์เบิร์ก
มลรัฐเพนซิลเวเนีย
เมืองที่คาร์เนกีก่อร่างสร้างตัวจนเป็นหนึ่งในอภิมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยที่สุดในโลก
ตลอดอายุขัยของเขา
คาร์เนกีบริจาคเงินกว่า ๓๕๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ
(เท่ากับประมาณ ๑๐,๐๐๐
ล้านดอลลาร์ในมูลค่าปัจจุบัน) ให้แก่มูลนิธิ
(ส่วนใหญ่ที่เขาก่อตั้งเอง) มหาวิทยาลัย
สถาบันวิจัยอิสระ และองค์กรอื่นๆ
อีกมากมายนับไม่ถ้วน
ความที่คาร์เนกีเป็นนักอ่านตัวยง
ทำให้เขาชอบสร้างห้องสมุดและบริจาคหนังสือให้ห้องสมุด
ในระหว่างที่คาร์เนกียังมีชีวิตอยู่
เขาสร้างห้องสมุด ๒,๕๐๙ แห่งทั่วโลก ในจำนวนนี้
๑,๖๘๙ แห่งอยู่ในสหรัฐอเมริกา (คิดเป็นกว่าร้อยละ
๕๐ ของห้องสมุดทั้งหมดในประเทศในสมัยนั้น) ๖๖๐
แห่งในอังกฤษและไอร์แลนด์ ๑๕๖ แห่งในแคนาดา
และที่เหลือในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เซอร์เบีย
ประเทศหมู่เกาะในทะเลแคริบเบียน และฟิจิ
การสร้างห้องสมุดจำนวนมหาศาลทำให้เขามีสมญานามว่า
"นักบุญแห่งห้องสมุด" (patron saint of libraries)
ตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่
พ่อแม่ของคาร์เนกีเป็นชาวสกอตอพยพผู้ยากไร้
ตั้งรกรากในเมืองพิตส์เบิร์กเมื่อปี ค.ศ. ๑๘๔๘
คาร์เนกีเริ่มทำงานตั้งแต่อายุเพียง ๑๓ ปี
ในตำแหน่งเด็กเปลี่ยนกระสวยในโรงงานทอฝ้าย
รับเงินค่าจ้าง ๑.๒๐ ดอลลาร์ต่อสัปดาห์ ต่อมาในปี
๑๘๕๑
คาร์เนกีได้งานเป็นเด็กวิ่งส่งข้อความในสำนักงานโทรเลข
ความขยันขันแข็ง เฉลียวฉลาด แคล่วคล่องว่องไว
และอุปนิสัยร่าเริง เข้ากับคนง่าย
ทำให้เขากลายเป็นพนักงานดาวเด่นในบริษัทอย่างรวดเร็ว
ต่อมาคาร์เนกีย้ายไปเป็นพนักงานส่งโทรเลขของบริษัทรถไฟเพนซิลเวเนีย
(Pennsylvania Railroad)
บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกในยุคนั้น
ชีวิตการงานของเขารุดหน้าอย่างรวดเร็วจนได้รับความไว้วางใจจาก
โทมัส สกอตต์ (Thomas Scott) นายของเขา
ผู้กลายเป็นเพื่อนและพันธมิตรทางธุรกิจในเวลาต่อมา
สกอตต์เป็นคนแรกที่ชี้ให้คาร์เนกีเห็นความมหัศจรรย์ของ
"ดอกเบี้ยทบต้น" (compound interest) จากการลงทุน
เขาให้คาร์เนกีกู้เงิน ๖๐๐
ดอลลาร์ไปลงทุนในหุ้นของบริษัท Adams Express
ซึ่งเป็นบริษัทรับส่งของที่ประสบความสำเร็จสูงมาก
ในอีกหลายปีต่อมาคาร์เนกีเขียนบรรยายความตื่นเต้นตอนที่เขาได้รับเช็คเงินปันผลใบแรกจากบริษัทนี้ไว้ว่า
"ผมจะจดจำเช็คใบนี้ไปจนวันตายเพราะมันทำให้ผมมีรายได้สตางค์แรกจากการลงทุน
เงินก้อนแรกที่ผมได้รับโดยไม่ได้มาจากหยาดเหงื่อแรงงานของตัวเอง
...นี่เอง ห่านที่ไข่ออกมาเป็นทองคำ !"
หลังจากที่คาร์เนกีค้นพบว่าเขามีพรสวรรค์และความสามารถเพียงใดในการเป็น
"นายทุน"(capitalist)
เขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้หยาดเหงื่อแรงงานในการหาเลี้ยงชีพอีกต่อไป
เมื่อสงครามกลางเมืองอเมริกาปะทุขึ้น
คาร์เนกีจ้างชายชาวไอริชผู้หนึ่งด้วยเงิน ๘๕๐
เหรียญ ให้ไปเกณฑ์ทหารแทนเขา
งานส่งโทรเลขและประสบการณ์ในบริษัทรถไฟของคาร์เนกี
สองช่องทางหลักในการสื่อสารและติดต่อค้าขายในสมัยนั้น
ช่วยให้เขามองเห็น "ช่องทางรวย" ในธุรกิจใหม่ๆ
ก่อนคนอื่น
เขาริเริ่มกิจการผลิตเหล็กกล้าเป็นคนแรกๆ
ในอเมริกา
คิดค้นกระบวนการผลิตที่ผลิตเหล็กได้ทีละมากๆ (mass
production) ด้วยต้นทุนต่ำแต่มีประสิทธิภาพสูง
ระหว่างนั้นก็ลงทุนอย่างชาญฉลาดในธุรกิจอื่นๆ
เช่นบ่อน้ำมัน ในปี ๑๘๖๕ เมื่อคาร์เนกีมีอายุเพียง
๓๐ ปี เขาก็มีรายได้ถึง ๓๘,๗๓๕ ดอลลาร์
(เท่ากับประมาณ ๕.๖ ล้านดอลลาร์ในมูลค่าปัจจุบัน)
ถึงแม้ว่าจะได้เป็นเศรษฐีเงินล้านตั้งแต่อายุยังน้อย
คาร์เนกีก็ไม่เคยรู้สึกสบายใจกับความมั่งคั่งของเขา
เมื่ออายุ ๓๓ ปี ในปี ๑๘๖๘
คาร์เนกีก็เขียนข้อความต่อไปนี้ในจดหมายถึงตัวเอง
"ผมปวารณาว่าจะไม่รับรายได้เกิน ๕๐,๐๐๐
ดอลลาร์ต่อปี ! (เท่ากับประมาณ ๓
ล้านดอลลาร์ในมูลค่าปัจจุบัน)
ผมจะนำส่วนเกินจากเงินจำนวนนี้ที่ผมจำเป็นต้องใช้จริงๆ
ไปเพื่อเป้าหมายทางสังคม !
ผมจะเลิกทำธุรกิจตลอดกาล
เว้นแต่จะทำเพื่อผู้อื่นเท่านั้น
เราจะตั้งรกรากในออกซฟอร์ด ผมจะเรียนจนจบสูงๆ
และทำความรู้จักกับปัญญาชนทั้งหลาย
ผมคิดว่าเรื่องนี้จะต้องใช้เวลา ๓ ปี
ผมจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการพูดในที่สาธารณะ
เราจะตั้งรกรากในลอนดอน
ผมจะซื้อหุ้นใหญ่ในหนังสือพิมพ์หรือวารสารวิจารณ์งานศิลปะอะไรสักอย่าง
แล้วก็จะให้เวลากับการบริหารจัดการกิจการนั้นๆ
ผมจะมีส่วนร่วมในประเด็นสาธารณะทั้งหลาย
โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับการศึกษาและการปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของชนชั้นรายได้น้อย
มนุษย์ทุกคนล้วนมีวัตถุบูชา
และการสะสมความมั่งคั่งก็เป็นหนึ่งในลัทธิบูชาวัตถุที่เลวร้ายที่สุด
!
ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้คุณค่ามนุษย์เสื่อมถอยเท่ากับการบูชาเงินเป็นพระเจ้าอีกแล้ว
! อะไรก็ตามที่ผมเข้าไปมีส่วนร่วม
ผมจะต้องทำอย่างดีที่สุด
และดังนั้นผมจึงต้องเลือกวิถีชีวิตที่สูงส่งที่สุด
ถ้าผมทำธุรกิจไปนานกว่านี้
หมกมุ่นอยู่กับความคิดที่ว่าจะหาเงินอย่างไรให้ได้เร็วที่สุด
วิญญาณของผมคงจะเสื่อมจนถึงจุดที่ไม่สามารถกอบกู้มันคืนมาได้อีก
ผมจะวางมือจากธุรกิจตอนอายุ ๓๕ ปี
แต่ในระยะเวลาที่เหลืออีก ๒ ปีนับจากนี้
ผมอยากใช้เวลาทุกบ่ายเรียนหนังสือและอ่านหนังสืออย่างเป็นระบบ
!"
คาร์เนกีไม่เคย "วางมือ"
จากธุรกิจตอนอายุ ๓๕ ตามที่เขาตั้งใจไว้
แต่มุ่งมั่นทำธุรกิจเหล็กกล้าและลงทุนอย่างชาญฉลาดต่อไปอีกกว่า
๓ ทศวรรษ ในปี ๑๙๐๑
เมื่อเขาขายธุรกิจเหล็กกล้าให้แก่บริษัท เจ.พี.
มอร์แกน (J.P. Morgan)ด้วยราคาสูงถึง ๔๐๐
ล้านดอลลาร์ (ต่อมาบริษัทนี้กลายเป็น U.S. Steel
ผู้ผลิตเหล็กกล้ารายสำคัญของโลก)
คาร์เนกีก็กลายเป็นชายผู้ร่ำรวยที่สุดในอเมริกา
คาร์เนกีเป็น "นายทุนใจบุญ"
คนแรกๆ ของโลก ผู้มีความเชื่อว่า คนรวยทุกคนมี
"หน้าที่ทางศีลธรรม"
ที่จะมอบความมั่งคั่งกลับคืนสู่สังคม
อุดมการณ์ของคาร์เนกีได้รับอิทธิพลอย่างมากจากแนวคิดและข้อเขียนของ
เฮอร์เบิร์ต สเปนเซอร์ (Herbert Spencer,
๑๘๒๐-๑๙๐๓) นักปรัชญาชาวอังกฤษ ผู้สอนคาร์เนกีว่า
ความสำเร็จของเขาในฐานะนักธุรกิจนั้นตั้งอยู่บนความยึดมั่นในกฎเกณฑ์ของตลาดการแข่งขัน
ซึ่งมีมิติของศีลธรรมพอๆ กับที่มันมีเหตุมีผล
ถึงแม้ว่าคาร์เนกีจะไม่เคร่งศาสนาใดๆ
เขาก็เชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่า เขาเป็นหนึ่งใน
"ผู้ที่ถูกเลือก" (โดยโชคชะตา พระเจ้า
หรืออะไรก็แล้วแต่)
ให้ทำหน้าที่จัดสรรความมั่งคั่งในทางที่เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคม
เพราะนายทุนมีความสามารถในการทำให้เงินงอกเงยสูงกว่าคนทั่วไป
คาร์เนกีเชื่อว่า ยิ่งความมั่งคั่งกระจุกตัวในมือ
"นายทุนผู้มีจิตสาธารณะ" อย่างเขาเท่าไร
สังคมก็จะยิ่งได้รับประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น
เพราะเมื่อนายทุนเหล่านี้วางมือจากธุรกิจแล้ว
ก็จะสามารถจัดสรรความมั่งคั่งนั้นให้แก่กลุ่มผู้ด้อยโอกาสในสังคม
ในฐานะตัวแทนและผู้ดูแลผลประโยชน์(trustee)
ของพวกเขา
ประสบการณ์และความสามารถในการบริหารจัดการของนายทุนจะทำให้นายทุนสามารถทำประโยชน์ให้แก่ผู้ด้อยโอกาสได้ดีกว่าที่พวกเขาจะทำด้วยตัวเองได้
คาร์เนกีไม่เพียงแต่ทำตามสิ่งที่เขาเชื่อเท่านั้น
แต่ยังถ่ายทอดความคิดของเขาไว้ในบทความและหนังสืออย่างสม่ำเสมอ
ในบทความชิ้นสำคัญเรื่อง "Wealth"
หรือที่ชาวอเมริกันรู้จักในชื่อ "The Gospel of
Wealth" (ตำราแห่งความมั่งคั่ง) ตีพิมพ์ในวารสาร
North American Review ในปี ๑๘๘๙
คาร์เนกีสรุปความคิดของเขาในประเด็นสำคัญๆ
ที่เริ่มเลือนหายไปจากความทรงจำของสังคมแม้แต่ในอเมริกาเอง
ไว้ดังต่อไปนี้
ว่าด้วย "หน้าที่ของคนรวย"
"(คนรวย) ควรใช้ชีวิตอย่างสมถะ
ไม่โอ้อวดให้เป็นเยี่ยงอย่าง
หลีกเลี่ยงการแสดงออกที่ฟุ่มเฟือยและวิถีชีวิตแบบหรูหรา
กันเงินจำนวนหนึ่งให้พอเพียงสำหรับความต้องการที่มีเหตุมีผลของคนที่พึ่งพาเขา
(เช่นลูกหลาน)
หลังจากนั้นก็ควรเอารายได้ส่วนเกินทั้งหมดที่ได้รับไปไว้ในกองทุน
(trust fund)
ที่เขาปวารณาตัวว่ามีหน้าที่บริหารจัดการในทางที่เชื่อว่าก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อชุมชน
ในแง่นี้คนรวยจะเป็นเพียงตัวแทนและผู้ดูแลผลประโยชน์ให้แก่พี่น้องในสังคมที่จนกว่าเขาเท่านั้น"
ว่าด้วย "การกุศลตามอำเภอใจ" (indiscriminate
charity)
"เป็นเรื่องดีกว่าสำหรับมนุษยชาติ
ถ้าจะโยนเงินล้านของเศรษฐีลงทะเล
แทนที่จะใช้เงินนั้นในทางที่ส่งเสริมคนเกียจคร้าน
คนมัวเมา และคนที่ไม่สมควรได้รับเงินนั้น ในทุกๆ
๑,๐๐๐ เหรียญที่อ้างว่าทำไปเพื่อการกุศลในปัจจุบัน
ผมคิดว่ากว่า ๙๕๐
เหรียญถูกใช้ไปในทางที่ไม่เหมาะไม่ควร
ในทางที่เอื้ออำนวยให้เกิดเรื่องเลวร้ายทั้งหลายที่การกุศลเหล่านั้นอ้างว่าจะช่วยบรรเทา"
ว่าด้วยภาษีมรดก
"ในบรรดาภาษีทุกรูปแบบ
ผมคิดว่าภาษีมรดกเป็นภาษีที่ดีที่สุด
คนที่สะสมความมั่งคั่งไปเรื่อยๆ
ตลอดชีวิตของพวกเขา
ความมั่งคั่งที่ควรจะทำคุณประโยชน์ให้แก่สังคม
ควรจะถูกบังคับให้รู้สึกว่าสังคมซึ่งมีรัฐเป็นตัวแทน
ไม่ควรจะถูกกีดกันจากสัดส่วนของความมั่งคั่งที่ควรจะได้รับ
รัฐควรจะเก็บภาษีมรดกสูงๆ ตอนคนรวยตาย
เพื่อลงโทษเศรษฐีผู้เห็นแก่ตัวที่ใช้ชีวิตอย่างไร้คุณค่า
ผมคิดว่าทุกประเทศควรจะทำเช่นนี้ ว่ากันตามจริง
เป็นเรื่องยากที่จะกำหนดสัดส่วนของมรดกคนรวยที่ควรจะตกเป็นของรัฐเมื่อเขาตายลงอัตราภาษีทำนองนี้ควรเป็นขั้นบันได
เริ่มจากศูนย์บนมรดกจำนวนพอประมาณที่เหลือไว้ให้ลูกหลาน
และเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเม็ดเงินเพิ่มขึ้น"

ภาพวาดเหตุการณ์
Homestead Strike บนหน้าปกวารสาร Harper's Weekly
ฉบับวันที่ 16 กรกฎาคม 1892
ถึงแม้ว่าคาร์เนกีจะเป็น
"นายทุนใจบุญ" อย่างมั่นคงไม่เสื่อมคลาย
ก็ใช่ว่าเขาจะทำธุรกิจอย่างเปี่ยมสำนึกตามไปด้วย
ตรงกันข้าม
ประวัติของคาร์เนกีในฐานะนักธุรกิจเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว
ที่แม้หลายกรณีอาจไม่ถึงกับผิดกฎหมายเต็มๆ
แต่ก็เป็นเรื่องผิดจรรยาบรรณหรือศีลธรรม
กรณีที่สร้างความด่างพร้อยให้ประวัติของเขาที่สุดคือเหตุการณ์ปี
๑๘๙๒ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่รู้จักในชื่อ "Homestead
Strike"
เมื่อคนงานที่โรงงานเหล็กของคาร์เนกีนัดหยุดงานประท้วงเพื่อพยายามกีดกันไม่ให้บริษัทระบุในสัญญาจ้างงานว่า
ลูกจ้างยินยอมจะไม่เป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานใดๆ
(สัญญาจ้างงานแบบนี้เรียกว่า "yellow-dog
contract"
และเป็นเรื่องผิดกฎหมายแล้วในอเมริกาตั้งแต่ปี
๑๙๓๒)
แล้วเกิดการปะทะกันอย่างดุเดือดระหว่างคนงานกับนักสืบเอกชนติดอาวุธจากบริษัท
Pinkerton National Detective Agency
ที่โรงงานเหล็กจ้างให้มารับมือกับคนงานทั้งสองฝ่ายยิงต่อสู้กันจนทำให้คนงาน
๗ คนถึงแก่ชีวิต

หลุมฝังศพของคาร์เนกีที่สุสาน Sleepy Hollow
ในเมือง Sleepy Hollow รัฐนิิวยอร์ก
ถึงแม้ว่าตอนที่เกิดเหตุ
Homestead Strike
คาร์เนกีจะเป็นเพียงผู้ถือหุ้นรายใหญ่
ไม่ได้เป็นผู้บริหารบริษัทโดยตรงแล้ว
แต่เขาก็ไม่เคยปริปากพูดถึงเหตุการณ์รุนแรงระหว่างบริษัทกับพนักงานของตัวเองซึ่งยังเป็นที่โจษขานในแง่ลบจนถึงทุกวันนี้
นอกจากนี้คาร์เนกีเองก็ไม่เคยใช้ชีวิตอย่าง "สมถะ"
เท่ากับที่เขาชอบเรียกร้องให้เศรษฐีคนอื่นๆ ทำ
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าคาร์เนกีจะเป็น
"นักธุรกิจสำคัญ"
ผู้มีข้อบกพร่องและรอยด่างในชีวิตมากมายเกินกว่าที่ใครจะยกย่องให้เป็น
"นักบุญ" ได้อย่างสนิทใจ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเป็น
"นักการกุศล (ไม่) สำคัญ"
ผู้มอบมรดกอันมีค่ามหาศาลและยั่งยืนให้แก่สังคม
โดยเฉพาะด้านการศึกษาและวัฒนธรรม
และความเชื่อของเขาที่ว่า นายทุนทุกคนมี "หน้าที่"
ที่จะต้องตอบแทนสังคมด้วยการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส
ก็เป็นแนวคิด (ไม่)
สำคัญที่ควรได้รับการกล่าวขานและศึกษาวิเคราะห์มากกว่าประวัติการสร้างฐานะของตัวเขาเอง

วันนี้ในอดีต: 11 มิถุนายน
11 มิถุนายน พ.ศ. 2313
กัปตัน เจมส์ คุก (Captain James Cook)
นักสำรวจชาวอังกฤษ ควบคุมเรือ Endeavour
ไปชนแนวหินปะการังขนาดใหญ่ที่เรียกว่า
เกรตแบร์เรียรีฟ (Great Barrier
Reef)
ที่ชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศออสเตรเลีย
ส่งผลให้เรือเสียหายจนต้องซ่อมแซมนานถึง 7 สัปดาห์
เกรตแบร์เรียรีฟเป็นแนวปะการังที่ยาวที่สุดในโลกคือ
2,600 กิโลเมตร กินพื้นที่ถึง 344,400
ตารางกิโลเมตร แบ่งแยกออกเป็นเกาะเล็กเกาะน้อยกว่า
900 เกาะ มีการสำรวจพบปะการังกว่า 3 พันชนิด
สัตว์น้ำชนิดต่าง ๆ อีกกว่า 1,500 ชนิด
แนวปะการังนี้ตั้งอยู่ที่รัฐควีนส์แลนด์ตอนภาคเหนือของออสเตรเลีย
ปัจจุบันอยู่ในการดูแลของอุทยานแห่งชาติทางทะเลเกรตแบร์เรียรีฟ
(Great Barrier Reef Marine Park) เมื่อปี 2524
องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้เป็นมรดกโลก (World
Heritage Site) ทว่า กิจกรรมการพัฒนาด้านต่าง ๆ
ของมนุษย์ เช่น การขยายตัวของฟาร์ม เมือง
และโรงงานอุตสาหกรรม การท่องเที่ยวดำน้ำดูปะการัง
และสภาวะโลกร้อน ได้ทำลายแนวปะการังเพิ่มขึ้นทุกปี
ๆ
11 มิถุนายน พ.ศ. 2507
จอมพล ป. พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรี
ถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคหัวใจวาย ณ
บ้านพักที่ตำบลซากามิโอโน ชานกรุงโตเกียว
ขณะลี้ภัยการเมืองไปอยู่ประเทศญี่ปุ่น รวมอายุได้
67 ปี จอมพล ป. เกิดเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2440
นามเดิม แปลก ขีตตะสังคะ
เกิดที่อำเภอเมืองนนทบุรี
ศึกษาที่โรงเรียนนายร้อยทหารบก โรงเรียนเสนาธิการ
และไปศึกษาต่อที่โรงเรียนเสนาธิการทหารบก
ประเทศฝรั่งเศส
จากนั้นได้กลับมารับราชการจนกระทั่งได้ยศพันตรี
มีบรรดาศักดิ์และราชทินนามเป็น
"หลวงพิบูลสงคราม"
ท่านเป็นหนึ่งใน
คณะราษฎร
ที่ทำการอภิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่
24 มิถุนายน 2475
อีกสองปีต่อมาได้เลื่อนยศเป็นพันเอกและดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารบก
จอมพล ป. เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 3
ของไทย เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2481
โดยการลงมติของสภาผู้แทนราษฎร
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จอมพล ป.
ตัดสินใจเข้าร่วมกับฝ่ายญี่ปุ่น
ประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร
หลังจากสงครามสิ้นสุดลงจอมพล ป.
จึงติดคุกในฐานะอาชญากรสงครามและต้องยุติบทบาททางการเมืองทั้งหมด
ท่านกลับไปพำนักที่บ้าน อ. ลำลูกกา จ. ปทุมธานี
ก่อนจะคืนสู่อำนาจอีกครั้งในปี 3491
เมื่อทหารกลุ่มหนึ่งทำรัฐประหารแล้วเชิญท่านมาเป็นนายกรัฐมนตรี
คราวนี้ท่านครองตำแหน่งนานถึง 9 ปี
จอมพล ป.
ต้องพัฒนาประเทศไทยให้เจริญรุ่งเรืองทัดเทียมกับนานาอารยะประเทศ
โดยใช้นโยบาย ชาตินิยม อาทิ
ส่งเสริมความเป็นชนชาติไทยเน้นนโยบายเศรษฐกิจแบบ
“ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ” ประกาศ
รัฐนิยม
เพื่อปฏิวัติวัฒนธรรมของสังคมไทยเสียใหม่ ทั้ง
เรื่องภาษา ชีวิตความเป็นอยู่ ดนตรี การละเล่น
การแต่งกาย คตินิยม
และเปลี่ยนชื่อประเทศสยามมาเป็นประเทศไทย
โดยมีคำขวัญว่า "เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย"
ถือว่าจอมพล ป.
ได้ทำการปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ที่สุดของไทย
ซึ่งก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก
ในขณะเดียวกันก็มีกลุ่มที่ไม่พอใจได้พยายามลอบสังหารท่านหลายครั้ง
แต่ก็รอดหวุดหวิดทุกครั้ง จนได้รับฉายาว่า
“จอมพลกระดูกเหล็ก” จนในที่สุด พลเอกสฤษดิ์
ธนะรัชต์ ได้ทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 16 กันยายน
2500
ท่านจึงต้องลี้ภัยทางการเมืองไปที่ประเทศญี่ปุ่น
และพำนักอยู่ที่นั่นจนวาระสุดท้ายของชีวิต
Green Report : น้ำในโลกที่ร้อนขึ้น


คลองชลประทานหลายแห่งในเมืองไทยอยู่ในสภาพแห้งขอดแสดงถึงวิกฤตขาดแคลนน้ำที่กำลังรุนแรงขึ้นทุกขณะ
เรื่อง : ธารา บัวคำศรี
(tara.buakamsri@th.greenpeace.org) กรีนพีซ
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาพ :
สกล เกษมพันธุ์
มนุษย์ใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำในการหล่อเลี้ยงชีวิต
แต่เรากำลังทำให้แม่น้ำสายใหญ่เหือดแห้ง
เราดึงน้ำบาดาลที่เป็นแหล่งน้ำสำรองขึ้นมาใช้
ทรัพยากรที่สำคัญที่สุดนี้กำลังหมดลง
การคงอยู่และหายไปของน้ำมีผลสะเทือนต่ออารยธรรมมนุษย์อย่างใหญ่หลวง
แม่น้ำเหลืองของจีนที่ไหลลงผ่านที่ราบลุ่มจะมีน้ำเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยเพราะถูกดึงไปใช้ในระบบชลประทานเพื่อป้อนประชากรกว่า
๕๐๐ ล้านคน
คนในชนบทของอินเดียใช้น้ำบาดาลมากเกินขีดจำกัดจนต้องเจาะบ่อบาดาลลึกลงไปอีกนับร้อยเมตรซึ่งมักปนเปื้อนด้วยสารพิษอย่างฟลูออไรด์
ในซีเรียและอิหร่าน
อุโมงค์โบราณที่ดึงน้ำมาจากใต้ภูเขากำลังเหือดแห้งลง
ชาวนาในปากีสถานละทิ้งทุ่งนาแห้งแล้งไว้กับแม่น้ำสินธุที่แห้งเหือด
ทะเลทรายทางตอนใต้ของสเปนกำลังขยายตัว
ปริมาณฝนในภาคพื้นทวีป
จากตะวันตกของสหรัฐอเมริกาจนถึงตอนใต้และตะวันออกของแอฟริกากำลังลดลง
ยังไม่นับการแย่งชิงน้ำระหว่างภาคเกษตรกรรม
อุตสาหกรรม และเมือง
ที่ตึงเครียดขึ้นทุกขณะในประเทศไทย
แม้ธรรมชาติจะทำความสะอาดน้ำและหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ทุกๆ
๑๐ วันจากการระเหยและตกลงมาในรูปของฝนและหิมะ
แต่เรานำน้ำจากธรรมชาติมาใช้มากกว่า ๓
เท่าของอัตราที่คนรุ่นก่อนเคยใช้
ธรรมชาติจึงไม่อาจรักษาสมดุลนี้ไว้ได้
รายงาน The Economics of
Climate Change: The Stern Review (นิยมเรียกย่อๆ
ว่า Stern Report)
ซึ่งเป็นการวิเคราะห์เชิงเศรษฐศาสตร์ที่เป็นอิสระและเข้าถึงได้ง่ายในประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
โดย นิโคลัส สเติร์น
อดีตหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจของรัฐบาลอังกฤษ
และอดีตนักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลก ให้ภาพว่า
แหล่งน้ำจืดของโลกร้อยละ ๗๐
ใช้ในการเพาะปลูกพืชในระบบชลประทาน
และการผลิตอาหารเลี้ยงประชากร ร้อยละ ๒๒
ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตและพลังงาน
(น้ำหล่อเย็นในโรงไฟฟ้าและเขื่อนผลิตไฟฟ้า)
ขณะที่ร้อยละ ๘ ใช้เพื่อบริโภค การสุขาภิบาล
และนันทนาการในภาคครัวเรือนและธุรกิจ
รายงานยังระบุอีกว่าประมาณ
๑ ใน ๓
ของประชากรโลกอาศัยอยู่ในประเทศที่กำลังประสบ
"วิกฤตขาดแคลนน้ำ (Water Stress)"
ระดับปานกลางถึงระดับสูง และมีคนราว ๑.๑
พันล้านคนที่ไม่สามารถเข้าถึงน้ำสะอาดได้
ทั้งนี้วิกฤตขาดแคลนน้ำเป็นตัวชี้วัดถึงการมีอยู่ของน้ำ
แต่ไม่ได้หมายถึงการเข้าถึงน้ำสะอาดเสมอไป
และแม้ไม่มีปัจจัยเรื่องภาวะโลกร้อนมาเกี่ยวข้อง
การเพิ่มของประชากรก็ทำให้คนนับพันล้านคนต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีน้ำจำกัด
ในช่วงศตวรรษหน้า
อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกจะยังคงเพิ่มสูงขึ้นอีกประมาณ
๒ องศาเซลเซียส
แม้ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะลดลงอย่างมากก็ตาม
สิ่งที่มนุษย์ต้องเผชิญมิใช่เพียงอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกที่เพิ่มขึ้น
แต่คืออุทกวิทยาที่เปลี่ยนแปลงไป
แบบจำลองสภาพภูมิอากาศส่วนใหญ่ คาดการณ์ว่า
พื้นที่ที่มีน้ำมากอยู่แล้วจะมีน้ำมากขึ้น
ส่วนพื้นที่ที่มีน้ำน้อย-ที่ซึ่งน้ำคือความเป็นความตาย-จะแห้งแล้งมากขึ้น
ภัยพิบัติเหล่านี้เกิดขึ้นแล้วจากการกระทำของมนุษย์
พิบัติภัยทางน้ำยังมาจากมหาสมุทร
นักธารน้ำแข็งวิทยากล่าวว่า
พืดน้ำแข็งกรีนแลนด์และแอนตาร์กติกตะวันตกซึ่งมีมวลน้ำแข็งเพียงพอที่จะทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้น
๑๓ เมตร ได้ส่งสัญญาณร้ายออกมา
พืดน้ำแข็งกรีนแลนด์สูญเสียมวลน้ำแข็ง ๑
ลูกบาศก์กิโลเมตรทุกๆ ๔๐ ชั่วโมง เจมส์ แฮนเซน
ผู้อำนวยการสถาบันกอดดาร์ดเพื่อการศึกษาอวกาศประจำองค์การนาซา(GISS)
กล่าวว่า ทันทีที่พืดน้ำแข็งเริ่มแยกตัว
ระดับน้ำทะเลอาจสูงขึ้น ๑-๕ เมตร
สามารถไหลเข้าท่วมคนนับร้อยล้าน
ทลายปราการป้องกันน้ำท่วมของเมืองใหญ่ๆ
สิ่งที่เกิดขึ้นกับเมืองนิวออร์ลีนส์ในปี ๒๕๔๘
เป็นเพียงการเริ่มต้น
ลองนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นติดต่อกันในฤดูแห่งพายุเฮอริเคนเพียงฤดูเดียว
นึกถึงน้ำท่วมในเมืองลากอส กรุงเทพฯ ซิดนีย์
หรือลอนดอน
นึกถึงคนนับล้านที่ต้องอพยพในบังกลาเทศหรือสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์
มนุษย์อาศัยประโยชน์จากยุคที่สิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศมีความสมดุล
เป็นช่วงเวลาที่เราสามารถวางแผนล่วงหน้า
สร้างบ้านแปงเมือง
และทำการเพาะปลูกตามสภาพดินฟ้าอากาศและน้ำ
แต่การแทรกแซงธรรมชาติทำให้ช่วงเวลาเหล่านั้นกำลังหมดลง
จากนี้ไปสภาพภูมิอากาศจะโหดร้ายทารุณ
ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มขึ้น ทะเลทรายขยายตัว
วิกฤตขาดแคลนน้ำรุนแรงขึ้น
แม้มนุษย์จะมีสัญชาตญาณในการปรับตัว
ซึ่งทำให้เราอยู่รอดจากยุคน้ำแข็งมาได้
แต่บทเรียนที่ผ่านมาบอกเราว่าสังคมทันสมัยนั้นช่างเปราะบางต่อความเกรี้ยวกราดของธรรมชาติมากกว่าที่เราคิดไว้
ไม่เกินเลยไปหากจะกล่าวว่า
น้ำเป็นสิ่งกำหนดชะตากรรมของโลกในศตวรรษที่ ๒๑
อ้างอิง :
Fred Pearce. When the Rivers Run Dry: What
Happens When Our Water Runs Out?. Eden
Project Books, 2006. Nicholas Stern. The
Economics of Climate Change. Cambridge
University Press, 2006. Sucharit
Koontanakulvong. Water Situation in Thailand in
the Year 2003. Faculty of Engineering,
Chulalongkorn University, 2003.
ดร. บัญชา ธนบุญสมบัติ
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)

ไอน์สไตน์ :
การนำวิทยาศาสตร์ไปเทียบเคียงกับศาสนา (1)
บทสัมภาษณ์ ชวนคิดเรื่องไอน์สไตน์
ต่อไปนี้
เกิดจากการที่ในปัจจุบันมีการนำวิทยาศาสตร์ไปเทียบเคียงกับศาสนา
โดยมักจะมี
ไอน์สไตน์ (Einstein) เป็นสัญลักษณ์แทนวิทยาศาสตร์
อย่างไรก็ดี เนื่องจากประเด็น วิทยาศาสตร์ vs ศาสนา
นี้มีความละเอียดอ่อนและซับซ้อนมาก
จึงทำให้บ่อยครั้งที่เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
โดยเฉพาะแนวคิดและทฤษฎีต่างๆ
ทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกบิดเบือนไป
ซึ่งบางครั้งก็เห็นความผิดเพี้ยนได้ชัดเจน
แต่บ่อยครั้งก็แนบเนียน
จนอาจทำให้เข้าใจวิทยาศาสตร์และศาสนาไขว้เขวไปได้
ผมจึงได้แสดงความคิดเห็นผ่าน นสพ. กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน 2551 ในเซ็คชั่น กายใจ
ดังที่ปรากฏในบันทึกชุดนี้
สำหรับรายละเอียดอื่นๆ
ที่อ้างถึง และที่หลายท่านอาจจะยังสงสัยนั้น
ผมจะหาโอกาสนำเสนอผ่านสื่อต่างๆ รวมทั้ง GotoKnow
ในโอกาสต่อไปครับ

ที่มา : นสพ. กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันอาทิตย์ที่ 27
เมษายน 2551 เซ็คชั่น กายใจ
URL : http://www.bangkokbiznews.com/bodyheart
URL :
http://bangkokbiznews.com/bodyheart/20080404/news.php?news=column_26260947.php
บัญชา ธนบุญสมบัติ ชวนคิดเรื่อง ไอน์สไตน์
เรื่อง : เพ็ญลักษณ์
ภักดีเจริญ ภาพ : ธัชดล ปัญญาพานิชกุล
การนำทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์มาเทียบเคียงกับศาสนา
บางเรื่องราวมีการนำมาใช้ถูกต้องหรือไม่ เรื่องนี้น่าไตร่ตรอง
นี่เป็นอีกมุมมองความคิดของนักวิทยาศาสตร์ที่เขียนเรื่องแนววิทยาศาสตร์และอารยธรรม
ถ้าจะคุยเรื่องวิทยาศาสตร์หลากมุมมองเพื่อเชื่อมโยงในหลายๆ
เรื่องทั้งเรื่องศาสนา หรือเรื่องใดก็ตาม ก็ต้องเข้าใจหลักการให้ถูกต้อง
และมีคำถามมากมายชวนให้เราคิดอย่างมีเหตุและผล
ไม่เช่นนั้นแนวทางวิทยาศาสตร์อาจเป็นได้แค่การรับใช้การตลาด
หรือนำไปใช้สู่ความเชื่อบางอย่าง โดยมิได้ไตร่ตรอง
แม้นักเขียนบางคนจะบอกว่า
ธรรมะพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ แต่นักวิชาการบางคนกลับบอกว่า ให้ยั้งคิดสักนิด
ถ้าจะสื่อสารเรื่องแบบนี้ต้องเข้าใจวิทยาศาสตร์ให้แตกฉานและรู้จริง
ไม่เช่นนั้นอาจไม่ได้นำไปสู่การพัฒนาเชิงปัญญาอย่างแท้จริง
เรื่องนี้จึงต้องไปถามผู้รู้ทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้วิเคราะห์วิจารณ์...
ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ นักวิชาการจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
(สวทช.) เป็นคนหนึ่งที่สนใจศึกษาเรื่องวิทยาศาสตร์อย่างต่อเนื่อง
และพยายามโยงกับศาสตร์หลายๆ เรื่อง
เขามีผลงานหนังสือแนววิทยาศาสตร์
ทั้งแนวลึกและแนวเข้าใจง่ายๆ ไม่ซับซ้อนจนเกินไป และพยายามทำความเข้าใจกับสังคมในมิติอื่นๆ ด้วย และต่อไปนี้คือ
แง่คิดเพื่อสร้างความเข้าใจในบางเรื่องระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนา
เพื่อให้เกิดวิวาทะทางปัญญา
และนำไปสู่ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
+การนำแนวคิดวิทยาศาสตร์มาอธิบายศาสนา
หรือเรื่องทางจิตวิญญาณ อาจารย์มีความคิดเห็นเรื่องนี้อย่างไรคะ
ทั้งสองเรื่องคือ วิทยาศาสตร์และศาสนา
ต่างก็มีความละเอียดอ่อนและลึกซึ้งทั้งคู่ ถ้าจะนำมาเปรียบเทียบกัน
ก็ต้องเข้าใจทั้งสองเรื่องนี้อย่างถูกต้อง
อย่างหนังสือเรื่อง ‘พุทธศาสนา
ในฐานะเป็นรากฐานของวิทยาศาสตร์’ ของท่านพระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตโต)
ซึ่งสมณศักดิ์ในขณะเขียนหนังสือคือ พระเทพเวที
ก็เป็นหนังสือที่เขียนได้อย่างมีเหตุมีผล มีข้อมูลถูกต้อง
นำเสนอข้อเท็จจริงอย่างเป็นกลางและรอบด้าน เพราะท่านมีความเป็นปราชญ์
เป็นนักวิชาการ และยังมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะที่น่านำไปคิดต่ออีก

หนังสือลักษณะนี้ผมอ่านแล้ว ก็เกิดศรัทธาครับ
อย่างไรก็ดี
ถ้าเข้าใจวิทยาศาสตร์หรือศาสนาด้านใดด้านหนึ่งคลาดเคลื่อนไปมาก
ก็ย่อมจะทำให้การเปรียบเทียบเกิดปัญหาความผิดเพี้ยนได้ ซึ่งหากผู้รู้มาพบเข้า
ก็จะทำให้ความน่าเชื่อถือในการนำเสนอลดลงไป ถ้าผิดมาก
ความน่าเชื่อถือก็ลดลงไปมากด้วย
ตัวอย่างที่เห็นกันในขณะนี้ก็คือ "ข้าพเจ้า
(หมายถึง ผู้ที่นำวิทยาศาสตร์มาเทียบกับศาสนา
โดยที่พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์อาจจะยังไม่แข็งแรงพอ) เป็นคนที่ใฝ่รู้
จึงได้พยายามศึกษาวิทยาศาสตร์จากแหล่งข้อมูลต่างๆ พออ่านไปถึงระดับหนึ่ง
ก็เกิดความเข้าใจ
สามารถเชื่อมโยงกับความเชื่อทางศาสนาและจิตวิญาณได้อย่างมีเหตุมีผล"
ผมมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการศึกษาวิทยาศาสตร์ หรือเรื่องใดๆ ก็ตาม
โดยการอ่านอย่างนี้ครับ
คือหนังสือหรือแหล่งข้อมูลมีหลายระดับ
ถ้าเป็นพวกมืออาชีพ คือ คนที่ร่ำเรียนมาทางนี้โดยตรง
ก็จะอ่านจากตำราหรือบทความวิชาการลึกๆ ซึ่งเข้าใจได้ยาก
เพราะเอกสารพวกนี้จะเขียนอย่างแม่นยำและรัดกุม เช่น มีสูตร มีสมการ
มีผลการทดลองยุบยั่บ

ตัวอย่างหนังสือแนว
Popular Science ชั้นดี (อ่านสนุก & ข้อมูลถูกต้อง) ในความคิดเห็นของผม
แต่สำหรับคนทั่วไป
ก็จะอ่านจากหนังสือแนววิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า Popular Science
ซึ่งผู้เขียนจะพยายามสื่อสารเรื่องออกไปในวงกว้าง โดยนำเสนอและใช้ศัพท์แสงต่างๆ
ให้ง่ายขึ้น ไม่ค่อยมีสูตรสมการที่แม่นยำ เรียกว่าการทำให้เรื่องง่าย
(simplification) หนังสือแนวนี้หากเขียนได้ดี
ก็จะเป็นประโยชน์ต่อคนที่สนใจอย่างยิ่ง
แต่ในข้อดีของหนังสือที่อ่านได้ง่ายนี้ก็มีจุดเสี่ยงแฝงอยู่ นั่นก็คือ
บางครั้งผู้เขียนทำให้เรื่องง่ายเกินไป (oversimplification)
ทำให้ผู้รับสารคิดว่าเข้าใจ แต่จริงๆ แล้วเป็นความเข้าใจอย่างหยาบมากๆ เท่านั้น
หรือถ้าลงลึกไปในรายละเอียดแล้ว ข้อสรุปที่คิดว่าใช้ได้ อาจจะใช้ไม่ได้
เนื่องจากอยู่นอกเงื่อนไขที่กำหนด
ผลก็คือ
มีการนำข้อมูลหรือข้อสรุปบางอย่างไปสนับสนุนความเชื่อโดยละเลยเงื่อนไขที่ใช้ได้
ส่วนข้อมูลที่ขัดแย้งอาจจะละเลยไม่กล่าวถึง
อย่างนี้ถ้าเรารู้เท่าทัน
ก็จะทำให้เสียศรัทธาได้ แต่ถ้าไม่รู้เท่าทัน ก็อาจจะเชื่อ ไม่เชื่อ หรือเฉยๆ
พุทธศาสนาให้ความสำคัญกับเรื่องสัมมาทิฐิไว้อย่างสูงนะครับ
{mospagebreak}
หน้า 2
ไอน์สไตน์ : การนำวิทยาศาสตร์ไปเทียบเคียงกับศาสนา (2)
+มีนักเขียนจำนวนมากนำแนวคิด
และทฤษฎีของคนดังอย่างไอน์สไตน์ มาเทียบเคียงในหลายๆ เรื่อง
ทั้งเรื่องการศึกษาสมองและศาสนา อาจารย์มีความคิดเห็นอย่างไร
ไอน์สไตน์ไม่ใช่แค่โลโก้ทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น
แต่ดูเหมือนเป็นโลโก้ความฉลาดของมนุษย์ในแง่สติปัญญาทางโลกอีกด้วย

จริงๆ
แล้วคนทั่วไปคงไม่รู้ว่า ไอน์สไตน์ฉลาดยังไง ทำไมถึงยกย่องกันนัก ถ้าพูดแบบคร่าวๆ
ก็คือ ในเรื่องทฤษฎีทางฟิสิกส์ที่เขาคิดขึ้นมีความลึกซึ้ง
เพราะสามารถเปลี่ยนวิธีคิดของเพื่อนนักวิทยาศาสตร์ร่วมสมัย
แล้วต่อมาผลการทำนายจากทฤษฎี ก็ได้รับการทดสอบว่าถูกต้องภายใต้กรอบเงื่อนไขของทฤษฎี
แม้เดี๋ยวนี้ก็ยังมีการทดสอบทฤษฎีบางแง่มุมอยู่
+อธิบายความฉลาดของไอน์สไตน์เพิ่มเติมได้ไหมคะ
ผมขอใช้การเปรียบเทียบนะ คือ สมัยหนึ่งมีคนเชื่อว่าโลกแบน
แต่ก็มีบางคนสังเกตว่า ดวงดาวบนท้องฟ้า ดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ต่างก็กลม
แล้วทำไมโลกต้องแบน เมื่อราวสองพันปีก่อน มีนักปราชญ์กรีกคนหนึ่งชื่อ
เอราทอสเทนีส เป็นบรรณารักษ์ของห้องสมุดแห่งเมืองอะเล็กซานเดรีย

คนนี้รอบรู้สารพัดทั้งประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ดาราศาสตร์ ปรัชญา
ฯลฯ เขาศึกษามาก ใช้ความคิดมาก แต่ที่สำคัญด้วยก็คือ ช่างสังเกต เขาพบว่า ในวันที่
21 มิถุนายนของทุกปี เวลาเที่ยง หากมองลงไปในบ่อน้ำของเมืองไซอีน
จะเห็นภาพดวงอาทิตย์อยู่ก้นบ่อพอดี หมายความว่า ดวงอาทิตย์ตั้งฉากกับผิวโลกที่นี่
แต่วันและเวลาเดียวกันนี้ ที่เมืองอะเล็กซานเดรีย ถ้าเอาไม้ไปปักตั้งฉากกับพื้น
จะพบว่าไม้ยังมีเงาอยู่
แบบนี้เป็นไปได้ 2 อย่างครับ
อย่างแรกคือ
ถ้าโลกแบน ก็แสดงว่าดวงอาทิตย์อยู่ใกล้โลกมาก

แต่อย่างที่สองคือ ถ้าพื้นผิวโลกโค้ง คือ โลกกลม
ก็เป็นไปได้เช่นกัน และด้วยการจัดการเพิ่มเติมอีกนิด
เขาก็สามารถประมาณขนาดของโลกได้
ไอน์สไตน์ก็คล้ายๆ กับเอราทอสเทนีสนี่แหละ
คือ เข้าใจได้ลึกกว่าคนทั่วไป มีมุมมองที่แตกต่าง
แต่ได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้องในเวลาต่อมา
+การนำทฤษฎีสัมพัทธภาพมาใช้ ต้องทำความเข้าใจอย่างไรคะ
ถ้าจะนำมาใช้ ต้องเข้าใจเงื่อนไขการใช้งานจริงๆ
อย่างเช่นเรื่องเวลาตามทฤษฎีสัมพัทธภาพที่มักจะอ้างถึงบ่อยๆ นั่นแหละ ยกตัวอย่างนะ
อย่างทฤษฎีสัมพัทธภาพบอกว่า ตอนที่คุณกับผมนั่งอยู่ด้วยกันนี่
เวลาของเราผ่านไปด้วยอัตราเดียวกัน แต่ถ้าผมเดินทางไปกับจรวดอัตราเร็วสูง
แล้วคุณยังอยู่ที่เดิม สิ่งที่เกิดขึ้นจะน่าสนใจ นั่นคือ
คุณจะสังเกตเห็นว่าเวลาของผมเดินช้าลง คือ ผมแก่ช้าลง
ในขณะที่เวลาของคุณยังคงเป็นปกติ
แต่จุดน่าสนใจอยู่ตรงนี้ คือ
ผมซึ่งอยู่ในจรวด ผมจะบอกว่าเวลาของผมเป็นปกติดี
แต่คุณต่างหากที่เคลื่อนที่ห่างจากผมไปด้วยอัตราเร็วสูง นั่นคือ
เวลาของคุณเดินช้ากว่าเวลาของผม คุณแก่ช้ากว่า นี่คือ สัมพัทธภาพ (relativity) ไง
คือ แต่ละคนมีกรอบอ้างอิงเรื่องเวลาของตนเอง ฟังแล้วแปลก
และอาจจะน่าตื่นเต้นสำหรับหลายๆ คน
แต่นี่ไม่ใช่จุดสำคัญที่สุดของทฤษฎีสัมพัทธภาพ!
เพราะว่าตามทฤษฎีนี้
แม้เราสองคน หรือใครๆ ก็ตามจะวัดเวลาที่ผ่านไปได้ต่างกัน
แต่จะมีหลายสิ่งหลายอย่างเหมือนกัน เช่น ทุกคนวัดอัตราเร็วของแสงได้เท่ากัน
ทุกคนใช้กฎทางฟิสิกส์ในรูปแบบเดียวกัน และปริมาณบางอย่างนั้น ไม่ว่าใครไปวัด
ก็จะได้เท่าๆ กัน นี่คือ ความไม่แปรเปลี่ยน หรือ
อินแวเรียนซ์ (invariance)
ซึ่งเป็นอีกแง่มุมหนึ่งของทฤษฎีสัมพัทธภาพที่ไม่ค่อยมีใครกล่าวถึง
ภาพแสดงแนวคิดเรื่อง
สัมพัทธภาพ (relativity) และความไม่แปรเปลี่ยน
(invariance)

ซ้าย :
คนที่อยู่บนถนนจะสังเกตเห็นรถจักรยานและคนขี่ที่เคลื่อนที่ผ่านไปหดสั้นลงในทิศทางการเคลื่อนที่
ขวา : แต่ในมุมมองของคนขี่จักรยาน เขาและจักรยานยังเป็นปกติดี (ไม่มีอะไรหด!)
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเขาต่างหาที่หดสั้นลง
แต่ทุกๆ
คนจะบอกว่าแสงมีอัตราเร็วเท่ากันทั้งหมด และกฎทางฟิสิกส์มีรูปแบบเดียวกัน (นี่คือ
ความไม่แปรเปลี่ยน)
อย่างไรก็ดี
ผมเขียนอธิบายเรื่องนี้ไว้แล้วนะในหนังสือเล่มหนึ่ง
หากมีใครสนใจฟิสิกส์ของไอน์สไตน์ และอยากนำไปเทียบเคียงกับศาสนา
หรือเรื่องทางจิตวิญญาณ ก็คงต้องไม่ลืมที่จะนำเรื่องความไม่แปรเปลี่ยนนี้ไปใช้ด้วย [โปรดดูภาพข้างบนสำหรับแนวคิดเบื้องต้น]
แต่ก็อย่างที่ว่าไว้แต่ต้น ต้องเข้าใจให้ดีก่อนนะ
ลองปรึกษานักฟิสิกส์ที่เขารู้เรื่องนี้ก็ได้ครับ ไม่งั้นเดี๋ยวผิดเพี้ยนอีก
ชื่อทฤษฎีสัมพัทธภาพมันลวงตาน่ะครับ คือมันชวนให้เข้าใจไปว่าทุกสิ่งเป็นสัมพัทธ
(relative) คือ แล้วแต่ว่าใครมอง ซึ่งไม่ใช่ เพราะบางอย่างเป็นสัมพัทธ์
บางอย่างเป็นความไม่แปรเปลี่ยน
+แนวคิดบางอย่างของไอน์สไตน์ทำความเข้าใจได้ยาก
ที่ว่าเข้าใจยาก เพราะมันขัดกับสามัญสำนึกของคนทั่วไป
อย่างคุณเห็นผมแก่ช้ากว่าคุณ ถ้ามองแบบใช้สามัญสำนึกธรรมดา
ผมก็ควรจะต้องเห็นคุณแก่เร็วกว่าผมใช่ไหม แต่ไม่ใช่ครับ
ต่างคนต่างบอกว่าตนเองเป็นปกติ คนอื่นเปลี่ยน
+คิดว่า ไอน์สไตน์กับพระพุทธเจ้าเกี่ยวข้องกันไหม
ในทางพุทธศาสนา พระพุทธองค์ทรงค้นหาและค้นพบความจริงของชีวิต
และค้นพบหนทางดับทุกข์ หัวใจอยู่ตรงนั้น
ส่วนในทางวิทยาศาสตร์
ไม่ว่าไอน์สไตน์หรือนักวิทยาศาสตร์คนไหน
ก็พยายามหาความจริงของธรรมชาติในสาขาที่ตนเองสนใจว่า มีหลักการหรือกฎเกณฑ์อย่างไร
ธรรมชาติทำงานอย่างไรครับ บางเรื่องก็อาจจะไปคาบเกี่ยวกับศาสนา เช่น
การศึกษาเรื่องจิต แต่มักจะมองคนละมุม
+ในความเห็นของอาจารย์ คิดว่าไอน์สไตน์นั่งสมาธิหรือไม่
ดูตามประวัติน่าจะไม่ ‘นั่งสมาธิ’ ในแง่ที่ว่าฝึกน่ะครับ
แต่ไอน์สไตน์มีสมาธิสูงมากในตอนที่ครุ่นคิดในเรื่องต่างๆ
ลองไปดูประวัติตอนที่เขาค้นพบหลักแห่งความสมมูล
ซึ่งเป็นรากฐานของทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปก็ได้ครับ
การ์ตูนแสดงชั่วเวลาขณะที่ไอน์สไตน์ค้นพบ
หลักแห่งความสมมูล (Principle of Equivalence)
ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานที่นำไปสู่การพัฒนาทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป (General
Relativity) อันเป็นผลงานที่สำคัญที่สุดในชีวิตของไอน์สไตน์
{mospagebreak}
หน้า 3
+ถ้าจะทำความเข้าใจทฤษฎีสัมพัทธภาพ
ต้องอ่านแนวคิดของไอน์สไตน์ให้แตก อาจารย์ศึกษาเรื่องนี้แค่ไหน
ผมเรียนฟิสิกส์ครับ คือ เป็นวิชาที่ต้องเรียนอยู่แล้ว
ส่วนเมื่อ 3 ปีก่อน ก็เคยเขียนหนังสือไว้ 2 เล่ม เล่มหนึ่งลงลึกพอสมควร
เอาแบบแม่นยำ และใช้คณิตศาสตร์ระดับมัธยมปลาย ส่วนอีกเล่มหนึ่งเขียนแบบง่ายหน่อย
ร่วมกับอาจารย์ ดร.ชัยวัฒน์ คุประตกุล และอาจารย์ ดร.สุทัศน์ ยกส้าน

+ อาจารย์เป็นนักวิทยาศาสตร์ ก็เลยไม่เชื่อเรื่องศาสนา
ถ้าใครได้อ่านข้อเขียนผมช่วงหลังๆ ในเสาร์สวัสดี กรุงเทพธุรกิจ ก็จะรู้ว่า
ผมสนใจอารยธรรม โดยเฉพาะทางศาสนา เช่น ฮินดู เชน และโซโรอัสเตอร์
พุทธศาสนาเกิดท่ามกลางวัฒนธรรมพราหมณ์ แต่เป็นพราหมณ์ที่กำลังอยู่ในขาลง
มีสำนักคิดต่างๆ มากมาย ลองไปศึกษาดูนะครับ
ตอนหลังพราหมณ์ถึงต้องปรับตัวเพื่อสู้กับพุทธและเชน โดยมีวัด เลิกบูชายัญ
กลายเป็นฮินดู
ผมคิดว่า เราน่าจะเรียนรู้ศาสนาได้ดีขึ้น
หากเข้าใจบริบทของสังคมในขณะหนึ่งๆ ด้วย ไม่ต่างจากการดูคนคนหนึ่งหรือคนกลุ่มหนึ่ง
เราคิดว่าดูแบบตรงๆ มิติเดียวไม่ได้หรอกครับ
เช่น
เราพูดได้อย่างเต็มปากไหมว่า คนที่อาศัยอยู่ในป่า
ล่าสัตว์เพื่อเป็นอาหารเท่าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตนั้นเขา "ทำผิดศีลธรรม"
หรือในทางกลับกัน เรามั่นใจได้ไหมว่า การที่เราไปชี้กุ้งปลาเป็นๆ ในตลาด
เพื่อให้แม่ค้าฆ่าให้เรานำไปประกอบอาหารนั้น เรา "ไม่ได้ทำผิดศีลธรรม"
นอกจากนี้พุทธศาสนายังมีหลายนิกาย
ลองไปดูแนวคิดของมหายาน วัชรยาน หรือมนตรยาน
ดูสิครับ พวกเราที่นับถือพุทธแบบเถรวาทอาจจะได้มุมมองที่น่าแปลกใจทีเดียว
+ถ้ามีคนแย้งว่า
อาจารย์ศึกษาเรื่องแนวคิดศาสนามากมาย แต่ไม่ได้ปฏิบัติ อาจไม่เข้าใจบางอย่าง
จะอธิบายอย่างไรคะ
ท่านพุทธทาสบอกว่า
การทำงานคือการปฏิบัติธรรมนะครับ
ที่สำคัญ คือ เรื่องที่คุยกันวันนี้
ผมไม่ได้โจมตีเรื่องศาสนาเลย แต่ประเด็นของผมคือ การนำเอาวิทยาศาสตร์มาเทียบเคียง
ไม่ว่าสนับสนุนหรือหักล้างความเชื่อทางศาสนา ถ้าทำได้อย่างถูกต้องถูกหลักวิชาการ
ก็จะเกิดความรู้ใหม่ๆ ที่งดงามและทรงพลัง
และจะทำให้เกิดศรัทธาต่อทั้งวิทยาศาสตร์และศาสนา เป็นศรัทธาที่รองรับด้วยปัญญา
แต่ถ้านำสิ่งที่ไม่ถูกต้องไปใช้
ก็จะก่อให้เกิดข้อผิดพลาด
ผมยึดหลักกาลามสูตรของพระพุทธองค์นะครับ
โดยข้อที่น่าสนใจเป็นพิเศษก็คือ อย่าด่วนเชื่อเพราะเข้ากับความเห็นของตน
ที่บางทีฝรั่งเรียกว่า confirmation bias
นั่นเอง
+นักฟิสิกส์อย่างอาจารย์เชื่อสิ่งที่มองไม่เห็นไหม
การเห็นมี 2 อย่างหลักๆ นะครับ คือ
มีอะไรบางอย่างที่เป็นตัวตนทางกายภาพจริงๆ ซึ่งทุกคนที่มีสายตาปกติจะมองเห็นเหมือนๆ
กัน
ส่วนอีกอย่างหนึ่งคือ
การที่สมองสร้างภาพนั้นให้เราเห็น เช่น ภาพในความฝัน
ภาพหลอนจากการใช้ยาหรือสารเคมีบางอย่าง
ถ้าตอบแบบนักฟิสิกส์ ก็อาจจะแถมด้วยว่า
เราก็มองไม่เห็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ไม่ใช่แสง
แต่เรามีหลักฐานว่ามันน่าจะมีอยู่จริง และเรานำมันมาใช้งานได้ด้วย เช่น คลื่นวิทยุ
คลื่นไมโครเวฟ รังสีเอ็กซ์ เป็นต้น
+มีคนบอกว่า จิตเป็นพลังงานอย่างหนึ่ง
อาจารย์คิดว่าเป็นเช่นนั้นไหม
ถ้าเป็นคำพูดทั่วๆ
ไปให้ฟังง่ายๆ ก็พอเข้าใจได้
แต่ในทางวิทยาศาสตร์นี่
จิตไม่ใช่พลังงานนะครับ จิตเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากการผุดบังเกิด
เป็นสิ่งที่ผุดขึ้นมาจากปฏิกิริยาทางกายภาพ อย่างความเจ็บ ความป่วย
การสัมผัสรับรู้รส ก็เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากการผุดบังเกิด [หมายเหตุ : การผุดบังเกิด (emergence)
เป็นแนวคิดสำคัญในวิทยาศาสตร์ใหม่แขนงหนึ่งที่มีชื่อว่า ศาสตร์แห่งความซับซ้อน
(Science of Complexity)]
+เรื่องการกลับชาติมาเกิด
อาจารย์มีความเชื่อเรื่องนี้อย่างไรคะ
เรื่องนี้น่าสนใจ ถ้ามองย้อนเวลากลับไป ก็มาจากศาสนาฮินดู
ทางคริสต์ก็ไม่มีเรื่องนี้นะครับ
ท่านพุทธทาสตีความคำว่า ‘เกิด’
อีกแบบคือ จิตเกิดดับตลอดเวลา เกิด นี่คือ การเกิดของตัวกู
[ข้อมูลเพิ่มเติม : ในข้อคิดเห็น
#8 หลวงพี่พระมหาชัยวุฒิฯ ได้กรุณาชี้แจงมาว่า
คำกล่าวของผมคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
โดยหลวงพี่ได้ให้ข้อเท็จจริงเบื้องต้นมาดังนี้ครับ:
ขอแย้งว่า มิใช่ความเห็นเบื้องต้นของท่านพุทธทาส
เพราะประเด็นนี้ มีเรียนมีสอนกันมาในคัมภีร์นานแล้ว... มีศัพท์บาลีว่า่ จิตฺตูปปาโท
ซึ่งบางครั้งก็นิยมแปลทับศัพท์เป็นไทยว่า จิตตูปบาท (ความเกิดขึ้นแห่งจิต) ]
แต่ในสังคมไทย
เราพูดเรื่องวิญญาณออกจากร่างไปอยู่อีกที่หนึ่ง ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากฮินดู
นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมอยากย้อนกลับไปดูว่า
แนวคิดแบบไหนที่พุทธศาสนารับเข้ามา แล้วมีการตีความใหม่
หรือแนวคิดไหนที่พุทธแตกต่างจากลัทธิความเชื่ออื่นอย่างเด่นชัด
ลองเอาเรื่องนี้ไปคิดเล่นๆ นะครับ ท่านมหาวีระ
ซึ่งเป็นศาสดาของศาสนาเชน เมื่อท่านบรรลุไกวัล ทางเชนก็ถือว่าท่านเป็นสัพพัญญู
เมื่อตอนดับขันธ์ เราก็ใช้ว่าท่านปรินิพพานเช่นกัน
การใช้คำเหล่านี้มาจากผู้รู้ทางศาสนาที่เป็นราชบัณฑิตครับ

(ซ้าย) มหาวีระขณะบรรลุธรรม เรียกว่า เกวัล หรือไกวัล
เป็นสัพพัญญูตามคติของศาสนาเชน (ขวา) ศาสดามหาวีระขณะแสดงปฐมเทศนา
ขอส่งท้ายว่า
ผมมีความเชื่อว่าท่านผู้รู้แต่ละท่าน
ที่พยายามเชื่อมโยงวิทยาศาสตร์เข้ากับศาสนานั้น
แต่ละท่านเป็นผู้มีเมตตาธรรมและสติปัญญาสูงทั้งสิ้น
ดังนั้น
หากเราต้องการที่จะทำให้คนไทยได้เรียนรู้ ค่อยๆ
ปรับแก้ไขในประเด็นที่ยังคลาดเคลื่อน เน้นแก่นแท้ และมีตัวอย่างที่แม่นยำชัดเจน
จนเกิดสัมมาทิฐิ คือ ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็จะทำให้เกิดความสุขและภูมิปัญญา
ทั้งในระดับปัจเจกและระดับสังคมของเราครับ
เสือลายเมฆ
ญาติสนิทของเสือเขี้ยวดาบ?
ข้อความ :
้้http://www.phana.com/webboard/00025.html
ในบรรดาสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในวงศ์แมว (Family Felidae)
ไม่ว่าจะเป็นแมวบ้านหรือแมวป่า ไม่ว่าจะเป็นเสือขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่
คงไม่มีแมวหรือเสือชนิดใด มีสีสันและลวดลายงดงามเท่า เสือลายเมฆ (Clouded
Leopard; Neofelis nebulosa) ซึ่งหลายคนอาจเหมือนผม เคยเห็นในสวนสัตว์บางแห่ง
เช่น สวนสัตว์พลาต้า แต่การพบตัวจริงๆ ในป่านั้นเป็นไปได้ยากยิ่ง
เสือลายเมฆเป็นแมวป่าที่มีลำตัวโต
และมีลักษณะของกระโหลกศีรษะและฟันคล้ายกับเสือดาว ซึ่งเป็นเสือขนาดใหญ่ในสกุล
Panthera เช่นเดียวกับเสือโคร่งและสิงโต แต่ไม่สามารถส่งเสียงร้องคำราม
(roar) ได้อย่างเสือดาว เสือโคร่ง หรือ สิงโต เพราะมันส่งเสียงร้องแหลมเล็ก
(purr) อย่างแมวป่าหรือเสือขนาดเล็กในสกุล Felis เช่น เสือปลา (Fishing Cat)
และ แมวป่าลายหินอ่อน (Marbled Cat)
จึงเป็นเสือที่มีลักษณะก้ำกึ่งระหว่างแมวป่าหรือเสือขนาดเล็กในสกุล Felis
กับเสือขนาดใหญ่ในสกุล Panthera
ด้วยเหตุนี้ นักสัตวศาสตร์ส่วนใหญ่
โดยเฉพาะ โรนัล เอ็ม. โนวัค (Ronald M. Nowak) ผู้แต่งหนังสือ Walker's
Mammals of the World และนายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล ผู้แต่งหนังสือ Mammals of
Thailand ร่วมกับเจฟฟรี่ แม็คนีลลี่ (Jeffrey McNeely)
ต่างจัดเสือลายเมฆไว้ในสกุลของมันเอง คือ สกุล Neofelis
อย่างไรก็ดี
นักสัตวศาสตร์บางคนจัดเสือลายเมฆไว้ในสกุล Felis เช่นเดียวกับแมวบ้านและ
แมวป่าหรือเสือขนาดเล็กชนิดอื่น เช่น เสือปลา และแมวป่าลายหินอ่อน
เพราะมันส่งเสียงร้องแหลมเล็กอย่างแมวป่าหรือเสือขนาดเล็กเหล่านี้
แต่นักสัตวศาสตร์บางคนจัดเสือลายเมฆไว้ในสกุล Panthera เช่นเดียวกับเสือดาว
เสือโคร่ง และ สิงโต เพราะมันมีลำตัวโต
และลักษณะของกระโหลกศีรษะและฟันคล้ายกับเสือดาว
เสือลายเมฆเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่แพร่กระจายอยู่เฉพาะในเขตโอเรียนตัล
(Oriental Realm) เท่านั้น เริ่มจากประเทศเนปาล และรัฐสิกขิมของประเทศอินเดีย
เรื่อยมาทางตะวันออกจนถึงประเทศจีนทางตอนใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียงลงมา
และเกาะไต้หวัน แล้วลงไปทางใต้ ผ่านประเทศพม่า ไทย อินโดจีน รวมทั้งเกาะไหหลำ
จนถึงมลายู เกาะสุมาตรา และเกาะบอร์เนียว
เนื่องจากเสือลายเมฆเป็นแมวป่าที่มีลวดลายและสีสันงดงามยิ่งกว่าแมวป่าหรือเสือชนิดใด
จึงทำให้มนุษย์คอยตามล้างตามผลาญ
เพื่อล่าเอาหนังและขนของมันมาทำเป็นเสื้อผ้าขนสัตว์
และยังเอาหัวกระโหลกและเขี้ยวของมันมาเข้าเครื่องยาอีกด้วย
จนเป็นเหตุให้ประชากรของมันต้องลดจำนวนลงอย่างมากมาย
นอกเหนือจากการทำลายป่าดงดิบอันรกทึบ ซึ่งเป็นแหล่งอาศัยและหากินของมัน
กล่าวกันว่า เสื้อคลุมตัวหนึ่งๆ
ที่ทำจากหนังพร้อมด้วยขนของเสือลายเมฆ จะต้องใช้หนังของเสือลายเมฆถึง 6 ผืน
ดังนั้น กว่าจะได้เสื้อคลุมมา 1 ตัว จะต้องฆ่าเสือลายเมฆถึง 6 ตัวทีเดียว
ซึ่งนับว่าโหดมาก ด้วยเหตุนี้
เสื้อคลุมที่ทำจากหนังของเสือลายเมฆจึงมีราคาสูงมาก
เพราะมันเป็นสัตว์ที่หายาก แต่เนื่องจากหนังของมันเป็นที่ต้องการของตลาด
จึงมีการลักลอบล่าเสือลายเมฆอยู่เรื่อยๆ
นอกจากนี้ สวนสัตว์ต่างๆ
ทั่วโลก ต่างต้องการเสือลายเมฆตัวเป็นๆ เพื่อเอาไปเลี้ยงไว้ให้คนชมอีกด้วย
ปัจจุบัน จึงเป็นสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทย และจากโลก
จนต้องจัดไว้ในภาคผนวก 1
ของอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดของสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้จะสูญพันธุ์
(CITES)
ฟันฉีกหรือเขี้ยวคู่บน ใหญ่ยาวมากและแหลมคม
เสือลายเมฆเป็นเสือขนาดกลาง เล็กกว่าเสือดาวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เพราะเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่ มีความยาวจากปลายจมูกถึงโคนหาง 61.6 - 106.6
ซม. หางยาว 55 - 91.2 ซม. ซึ่งนับว่ายาวมากเมื่อเทียบสัดส่วนกับหัวและลำตัว
เพราะยาวพอๆ กับหัวและลำตัวเลยทีเดียว มีน้ำหนัก 16 - 23 กก.
หัวกระโหลกของเสือลายเมฆใหญ่กว่าหัวกระโหลกของแมวป่าหรือเสือขนาดเล็กในสกุล
Felis มาก เพราะมีขนาดพอๆ กับหัวกระโหลกของเสือดาว
แต่ไม่ใหญ่เท่ากับหัวกระโหลกของเสือโคร่ง
หัวกระโหลกของมันดูคล้ายกับหัวกระโหลกของเสือดาวตรงที่มีปากสั้น โพรงสมอง
(braincase) ต่ำ กระดูกจมูก (nasals) ตรง และเบ้าตาไม่สมบูรณ์
อย่างไรก็ดี
หัวกระโหลกของมันแตกต่างจากหัวกระโหลกของเสือดาวตรงที่กระดูกจมูกกว้างกว่า
คางตั้งตรงมากกว่า และขอบล่างของเบ้าตาหนากว่า ปุ่มกระดูกบริเวณกระหม่อม
(sagittal crest) แข็งแรง และบริเวณท้ายทอยเป็นรูปสามเหลี่ยม
ตรงที่ปุ่มกระดูกบริเวณกระหม่อม (sagittal crest)
พบกับปุ่มกระดูกบริเวณท้ายทอย (occipital crest) มีลักษณะแหลม
ฟันฉีก
(canine) หรือเขี้ยวคู่บนของเสือลายเมฆมีขนาดใหญ่มาก
ทั้งยังยาวและแหลมคมอีกด้วย เนื่องจากยาวราว 3.81-4.44
ซม.จึงยื่นออกมานอกปากอย่างเห็นได้ชัดเจน
นับว่าใหญ่และยาวกว่าฟันฉีกหรือเขี้ยวคู่บนของเสือหรือแมวป่าชนิดใด นอกจากนี้
ทางด้านหลังของฟันฉีกหรือเขี้ยวคู่บนนี้ยังคมมากอีกด้วย ยิ่งกว่านั้น
ฟันรองกราม (premolar) ซี่บนซี่แรกเล็กมากหรือไม่มี
จึงทำให้เกิดช่องว่างระหว่างฟันฉีกหรือเขี้ยวคู่บนกับฟันรองกรามซี่ถัดไปมาก
ทำให้เสือลายเมฆมีกำลังในการงับเหยื่อด้วยฟันฉีกหรือเขี้ยวคู่บนมากยิ่งขึ้นด้วย
จากลักษณะของฟันฉีกหรือเขี้ยวคู่บนซึ่งยาวมากเช่นนี้
ทำให้นักวิทยาศาสตร์บางคนเข้าใจว่ามันมีเชื้อสายใกล้ชิดกับ เสือเขี้ยวดาบ
(Sabre-toothed Tiger; Smilodon sp.) เสือโบราณที่สูญพันธุ์ไปนานมากแล้ว
ซึ่งเคยมีชีวิตอยู่ในโลกนี้เมื่อราว 1,000,000 ปีที่ผ่านมา
แต่ฟันฉีกหรือเขี้ยวคู่บนของเสือเขี้ยวดาบมีไว้ใช้งับหลังคอของสัตว์ที่มีหนังหนาๆ
เช่น ช้างแมมมอธ (Mammoth) แรด และสล็อธดิน (Ground Sloth)
สิ่งที่น่าสนใจและสะดุดตาที่สุดของเสือลายเมฆ คือ
ความงามของสีสันและลวดลายตามลำตัว ซึ่งเป็นลายก้อนเมฆที่สวยงามมาก
จนทำให้ชาวผิวขาวเรียกเสือชนิดนี้ว่า Clouded Leopard ซึ่งแปลว่า
เสือดาวลายเมฆ ลวดลายเช่นนี้เป็นลักษณะเฉพาะตัวของเสือชนิดนี้เท่านั้น
พื้นลำตัวของเสือลายเมฆเป็นสีน้ำตาลแกมเหลืองแดง แต่สีค่อยๆ
จางลงทางใต้คาง ใต้คอ เรื่อยมายังหน้าอก และใต้ท้อง
รวมทั้งด้านในของขาทั้งสี่ บริเวณไหล่และถัดจากไหล่ไป
มีลายคล้ายก้อนเมฆขนาดเท่าฝ่ามือหรือโตกว่าฝ่ามือราว 5 - 6 ลายขวางลำตัวไว้
ซึ่งบางลายอาจยาวจากหลังลงมาจนเกือบจดท้อง ลายก้อนเมฆนี้มีสีน้ำตาลแกมเขียว
แต่ขอบหลังของลายเป็นสีดำ เนื่องจากลายก้อนเมฆออกสีเขียว
จึงทำให้ชาวบ้านบางคนเรียกเสือชนิดนี้ว่า เสือเขียว
บริเวณสันหลังของลำตัว มีจุดสีดำเรียงเป็นแถว
ดูคล้ายเส้นสีดำที่คดเคี้ยว นอกจากนี้ ยังมีเส้นยาวๆ
สีดำที่ข้างคอไปยังไหล่อีก 4 - 5 เส้น ที่หน้าผากมีจุดดำเล็กๆ
หลายจุดเป็นกระจุก ส่วนที่แก้มมีลายเป็นเส้นโค้งสีดำ รอบๅ ปากเป็นสีขาว
หนวดก็เป็นสีขาว ด้านในของใบหูที่ค่อนข้างกลมของมันเป็นสีจาง
แต่ด้านหลังของใบหูสีดำและมีจุดสีขาว ที่ขาและส่วนล่างของท้องมีจุดสีดำเล็กๆ
ด้วย
หางซึ่งยาวเกือบเท่าความยาวของหัวและลำตัว มีลายเป็นปล้องสีดำ
มีโคนหางหนาและเรียวไปทางปลายหางเล็กน้อย ปกคลุมด้วยขนที่ยาวและหนา
ทำให้เห็นหางของมันดูใหญ่ไม่สมตัว เพราะลำตัวของมันค่อนข้างบอบบาง
และขาทั้งสี่ค่อนข้างสั้น แต่เท้าใหญ่
สีสันและลวดลายของเสือลายเมฆนี้ ดูเผินๆ
คล้ายคลึงกับสีสันและลวดลายของ แมวป่าลายหินอ่อน (Marbled Cat; Felis
marmorata) มาก จึงทำให้ชาวบ้านบางคนสับสน
เห็นแมวป่าลายหินอ่อนเป็นเสือลายเมฆ หรือเรียกแมวป่าลายหินอ่อนว่าเสือลายเมฆ
อย่างไรก็ดี แมวป่าลายหินอ่อนมีขนาดเล็กกว่าเสือลายเมฆ
และถึงแม้ว่าสีสันและลวดลายของแมวป่าลายหินอ่อนจะคล้ายคลึงกับเสือลายเมฆ
แต่แมวป่าลายหินอ่อนมีหนวดสีดำตอนโคนและออกสีเหลืองตอนปลาย
ไม่ใช่สีขาวอย่างหนวดของเสือลายเมฆ
ที่หน้าผากของแมวป่าลายหินอ่อนไม่มีจุดสีดำๆ เป็นกระจุกอย่างเสือลายเมฆ
มีแต่ลายเส้นสีดำ และหางของแมวป่าลายหินอ่อนมีจุดสีดำๆ ตลอดความยาวของหาง
เนื่องจากเสือลายเมฆในภูมิภาคต่างๆ
มีขนาดของลำตัวและลวดลายสีสันแตกต่างกันบ้าง
นักสัตวศาสตร์จึงจำแนกเสือลายเมฆออกเป็น 4 ชนิดย่อย แต่พบในประเทศไทยเพียง 2
ชนิดย่อย คือ เสือลายเมฆพันธุ์เหนือ (N. n. nebulosa)
ซึ่งแพร่กระจายอยู่เหนือระดับคอคอดกระขึ้นไป รวมทั้งอินโดจีน จีนตอนใต้
และเกาะไหหลำ และ เสือลายเมฆพันธุ์ใต้ (N. n. diardi)
ซึ่งแพร่กระจายอยู่ต่ำจากระดับคอคอดกระลงมา จนถึงมลายู สุมาตรา และบอร์เนียว
เสือลายเมฆพันธุ์ใต้นี้มีลำตัวโตกว่าและมีลายเมฆใหญ่กว่าพันธุ์เหนือ
แต่โดยเฉลี่ยแล้ว มีขนาดของหัวกระโหลกเล็กกว่าพันธุ์เหนือ
{mospagebreak}
หน้า 2
เสือลายเมฆอีก 2 พันธุ์ ซึ่งไม่พบในประเทศไทยนั้น คือ
เสือลายเมฆพันธุ์พม่า (N. n. macrosceloides)
ซึ่งพบตั้งแต่เนปาลเรื่อยมาจนถึงพม่า และเสือลายเมฆพันธุ์ไต้หวัน (N. n.
brachyurus) ซึ่งพบเฉพาะบนเกาะไต้หวัน
แต่ในปัจจุบันเข้าใจว่าคงสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว
ปีนป่ายต้นไม้ได้เก่ง
ยิ่งกว่าเสือหรือแมวป่าชนิดใด
ถึงแม้ว่าเสือลายเมฆจะพึ่งถูกค้นพบเมื่อปี พ.ศ. 2364
แต่เสือชนิดนี้เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่หาได้ยากมาก
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า จำนวนประชากรของมันในโลกนี้มีอยู่ไม่มากนัก
และยังชอบอาศัยอยู่ในป่าดงดิบที่อุดมสมบูรณ์
ซึ่งมีต้นไม้ขึ้นอยู่หนาแน่นจนรกทึบ จนไม่ค่อยมีใครได้พบเห็นกัน
และหาตัวของมันได้ยากมาก ซึ่งผิดกับเสือและแมวป่าชนิดอื่นๆ
ที่อาศัยอยู่ในป่าที่ไม่รกทึบนัก จึงพบเห็นกันได้ไม่ยาก
ในประเทศไทย
มักพบเสือลายเมฆในป่าดิบแล้งที่ค่อนข้างโปร่ง แต่ในต่างประเทศ บางครั้ง
อาจพบได้แม้กระทั่งในป่าชั้นสอง ป่าที่มีการทำไม้ ทุ่งหญ้า และ ป่าละเมาะ
สำหรับในบอร์เนียวนั้น พบได้แม้กระทั่งในป่าชายเลน ส่วนแถบเชิงเขาหิมาลัย
จะพบได้จนถึงป่าดิบเขาในระดับความสูง 1,450 เมตร
แต่บางครั้งอาจขึ้นไปถึงระดับความสูง 3,000 เมตรก็ได้
เสือลายเมฆออกหากินในเวลากลางคืน
และหลับนอนในเวลากลางวันเช่นเดียวกับเสือและแมวป่าชนิดอื่นๆ
แต่ออกหากินในเวลากลางวันบ้างในบางครั้ง
มันมีความสามารถในการปีนป่ายต้นไม้ยิ่งกว่าเสือหรือแมวป่าชนิดใด
สามารถวิ่งลงมาจากต้นไม้ หรือ ไต่ไปใต้กิ่งไม้ที่ทอดนอนได้อย่างสบายๆ
ในบางครั้ง
มันก็ห้อยตัวลงมาจากกิ่งไม้ที่โน้มเอนโดยใช้เฉพาะเท้าหลังทั้งสองเท่านั้นที่เกาะกิ่งไม้ไว้
แต่มันก็มิได้อาศัยอยู่บนต้นไม้มากไปกว่าบนพื้นดิน
เนื่องจากเสือลายเมฆเชี่ยวชาญในการปีนป่ายต้นไม้มาก
ลักษณะโครงสร้างของร่างกายบางอย่างจึงดัดแปลงไปให้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตอยู่บนต้นไม้ของมัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หางที่ยาวมากเป็นพิเศษ
เพราะยาวเกือบเท่าความยาวของหัวและลำตัว
ซึ่งมีประโยชน์ในการทรงตัวอยู่บนกิ่งไม้เล็กๆ
ที่มันกำลังไต่หรือปีนป่ายขึ้นไป
ช่วยรักษาน้ำหนักของมันมิให้โอนเอียงไปทางใดทางหนึ่ง
นอกจากนี้
ลำตัวของมันยังค่อนข้างบอบบางและขาทั้งสี่ค่อนข้างสั้น แต่เท้าใหญ่
จึงทำให้มันมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ซึ่งช่วยให้มันทรงตัวอยู่บนกิ่งไม้ได้ดี
ยิ่งกว่านั้น นิ้วทั้งสี่ของเท้าแต่ละข้าง ทั้งเท้าหน้าและเท้าหลัง
ยังมีแผ่นพังผืดขึงติดกันอีกด้วย และปลอกเล็บของมันก็มีสองชั้น
ซึ่งช่วยให้มันหดเล็บเข้าไว้ในปลอกได้หมด
จึงทำให้มันปีนป่ายต้นไม้ได้คล่องแคล่ว และเหมาะที่จะใช้ชีวิตอยู่บนต้นไม้
นอกจากจะปีนป่ายต้นไม้ได้เก่งแล้ว
เสือลายเมฆยังว่ายน้ำได้เก่งอีกด้วย เพราะเคยมีพบมันอยู่บนเกาะเล็กๆ
นอกชายฝั่งของรัฐซาบาห์ (Sabah) และนอกชายฝั่งของเวียดนาม
ซึ่งแสดงว่ามันจะต้องว่ายน้ำข้ามทะเลไป จึงไปอยู่บนเกาะเล็กๆ นั้นได้
ในเวลากลางวัน
เสือลายเมฆชอบนอนพักผ่อนหรือหลับนอนอยู่แต่บนกิ่งไม้ใหญ่ที่ทอดเอน
ภายใต้ร่มเงาของใบไม้ที่หนาแน่นจนรกทึบ
จนยากที่ใครจะพบเห็นตัวหรือแลเห็นได้ง่ายๆ
เพราะลวดลายและสีสันของมันกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมได้ดีมาก
และพรางตาของเราได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้
จึงไม่ค่อยมีใครได้รู้จักชีวประวัติของเสือชนิดนี้เท่าใดนัก
เข้าใจว่าเสือลายเมฆคงอยู่ด้วยกันเป็นคู่ ตัวผู้และตัวเมีย
และออกล่าเหยื่อพร้อมๆ กัน แต่ในเวลาล่าเหยื่อ
ส่วนใหญ่มันมิได้ตระเวนหาหรือไล่ตะปบเหยื่อตามต้นไม้
จะจับเหยื่อตามต้นไม้บ้างเฉพาะในบางโอกาสเท่านั้น
แต่พอถึงเวลาพลบค่ำมันจะลงจากต้นไม้ เพื่อออกล่าเหยื่อบนพื้นดิน
เหยื่อของมันมีมากมายหลายชนิด ตั้งแต่นก
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งขนาดเล็ก เช่น ลิง ชะนีและเม่น และขนาดใหญ่ เช่น
เก้ง กวาง และหมูป่า ไปจนถึงสัตว์เล็กๆ เช่น งู เขี้ยวที่ใหญ่ยาวและแหลมคม
ประกอบกับลำตัวที่ล่ำสัน คงทำให้มันล่าสัตว์กีบที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ได้ดี
ในบอร์เนียว เคยมีผู้พบเสือลายเมฆกำลังกินซากลิงจมูกงวง (Proboscis
Monkey) บนต้นไม้เล็กๆ ซึ่งขึ้นอยู่ริมน้ำ และในป่าชายเลน ส่วนในประเทศไทย
ในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เคยมีผู้พบเสือลายเมฆกำลังกินลิงกัง และชะนี
นอกจากนี้ ในต่างประเทศ เคยมีรายงานว่า เสือลายเมฆเข้าทำร้ายแพะ แกะ หมู
ลูกควาย และ สุนัขที่มนุษย์เลี้ยงไว้ด้วย
แต่ไม่เคยมีรายงานว่ามันเข้าทำร้ายมนุษย์เลย
ชาวกระเหรี่ยงเล่าว่า
ในเวลาที่เสือลายเมฆจะจู่โจมไล่ตะปบเหยื่อบนพื้นดิน เมื่อมันมองเห็นเหยื่อ
มันจะหมอบราบๆ อยู่หลังดงไม้อันรกทึบ ซึ่งกลมกลืนกับลวดลายและสีสันของมัน
เพื่อหลบซ่อนตัวไม่ให้เหยื่อเห็น แล้วจึงค่อยๆ คืบคลานอย่างช้าๆ
แหวกดงไม้นั้นออกมา และกระโดดตะปบเหยื่อนั้นอย่างรวดเร็ว ด้วยเล็บเท้าหน้า
เหยื่อที่ถูกตะปบมักจะมึน แล้วถูกกัดซ้ำจนตาย
ด้วยเขี้ยวคู่บนซึ่งยาวและแหลมคมมาก
ตามปกติ เสือและแมวป่าชนิดอื่นๆ
จะกินเหยื่อจนหมดทั้งตัว รวมทั้งขนของเหยื่อด้วย
แต่เสือลายเมฆจะไม่กินขนของเหยื่อเข้าไปด้วย เพราะก่อนกินเหยื่อ
มันจะใช้ลิ้นที่สากเหมือนตะไบเช็ดถูขนของเหยื่อให้หลุดออกหมดเสียก่อน
แล้วจึงกินเหยื่อ แต่ถ้ามันกินเหยื่อไม่หมด มันจะทิ้งเหยื่อไว้ที่เดิม
แล้วกลับมากินเหยื่อใหม่จนหมด
เสือลายเมฆยังชอบดักซุ่มโจมตีเหยื่ออยู่บนกิ่งไม้ที่ห้อยลงมา
ทำนองเดียวกับเสือดาวอีกด้วย พอแลเห็นเหยื่อบนพื้นดิน ซึ่งเดินมาใกล้ๆ
ต้นไม้ที่มันกำลังดักซุ่มอยู่
มันจะกระโจนลงมาจากกิ่งไม้ทันทีเพื่อตะปบเหยื่อนั้น
มีรายงานว่า
เสือลายเมฆชอบส่งเสียงร้องคร่ำครวญนานๆ ณ เนินสูงๆ ที่ใดที่หนึ่ง
ซึ่งมักเรียกกันว่า " เนินเสือ " เสียงร้องนี้ดังไปทั่วทั้งป่า
สามารถได้ยินได้ในระยะไกลพอสมควร
ลูกเสือลายเมฆ ดูเผินๆ
คล้ายแมวลายหินอ่อน
ในกรงเลี้ยง
เสือลายเมฆผสมพันธุ์และตกลูกในระหว่างเดือนมีนาคม ถึง เดือนสิงหาคม
ตัวเมียตกลูกครอกละ 1-5 ตัว แต่ส่วนใหญ่มักตกลูกเพียงครอกละ 2 ตัว
ภายหลังจากตั้งท้องนาน 86-93 วัน ลูกเสือลายเมฆเกิดมาใหม่ๆ มีน้ำหนักราว
140-170 กรัม ยังไม่ลืมตา และช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย พออายุได้ 10-12 วัน
จึงจะลืมตาได้ และพอมีอายุได้ราว 6 สัปดาห์ จึงหย่านมและเริ่มหัดปีนป่าย
พอมีอายุได้ราว 11 1/2 สัปดาห์ มันจึงสามารถล่าเหยื่อได้เอง

ลูกเสือลายเมฆนี้
ดูเผินๆ คล้ายแมวลายหินอ่อนมาก แต่แมวลายหินอ่อนมีสีคล้ำกว่าและลายเล็กกว่า
พอมีอายุได้ 6 เดือน ลูกเสือลายเมฆจะมีลายคล้ายเสือลายเมฆที่โตเต็มวัยแล้ว
พอมีอายุได้ประมาณ 9 เดือน จึงโตเต็มวัย ถ้าหากนำมาเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็ก
พอโตขึ้นจะเชื่องง่าย และยังขี้เล่นอีกด้วย
พอมีอายุประมาณ 26 เดือน
ทั้งตัวผู้และตัวเมียจึงพร้อมที่จะสืบพันธุ์ได้เป็นครั้งแรก
และสืบพันธุ์ครั้งสุดท้ายเมื่อมีอายุได้ 12-15 ปี
ตัวผู้และตัวเมียจะมีลูกครอกหนึ่งๆ ทุกๆ 2-4 ปี เสือลายเมฆมีอายุยืนโดยเฉลี่ย
11 ปี แต่อาจถึง 17 ปีจึงแก่ตาย แต่เมื่อมันมีอายุมากขนาดนี้
ลวดลายตามลำตัวจะเลือนหายไปจนไม่เหมือนลายเมฆ
ลูกเสือลายเมฆตัวหนึ่งที่สวนสัตว์แฟรงค์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี
ออกจากรังเมื่อมีอายุได้ 12 วัน พอมีอายุได้ 6 สัปดาห์ จึงหย่านม
และเริ่มปีนป่ายได้ อายุได้ 10 ? สัปดาห์ มันเริ่มกินอาหารแข็งๆ ได้
พอมีอายุได้ 111/2 สัปดาห์ มันสามารถล่าเหยื่อได้เอง
การผลิตแก้ว

กรรมวิธีการผลิตแก้ว
ส่วนประกอบที่สำคัญของแก้ว โซดาไฟ ซิลิคา และ
Limestone การเป่าแก้ว ฟองแก้ว
แก้วใสที่ไร้สี คลิกที่โลโก้ 
กระจก

การทดสอบแก้วกับเสียงสูงระดับโอเปร่า
ว่าเสียงจะทำให้แก้วแตกหรือไม่ กรรมวิธีการผลิตแผ่นกระจกเรียบ
และท่านจะได้เห็นแผ่นกระจกลอยตัวอยู่เหนือตะกั่วเหลว คลิกที่โลโก้ 
บันไดเลื่อน

นักประดิษฐ์ชาวอเมริกันเป็นคนคิดขึ้นได้เป็นคนแรก
ท่านจะได้เห็นการทำงานของบันไดเลื่อน ความหมายของ
escalator
การทดสอบบันไดเลื่อนโดยคนขาเดียว คลิกที่โลโก้ 
สบู่

จำนวนคนกว่าพันล้านต่อวันที่ใช้สบู่
ท่านจะได้เห็นกรรมวิธีการผลิตสบู่ เส้นสบู่ แผ่นสบู่
และสุดท้ายปั๊มเป็นก้อนสบู่ คลิกที่โลโก้ 
การทดสอบกระจก

ใช้ตุ้มน้ำหนักเหวี่ยงไปที่แผ่นกระจก
เพื่อทดสอบความทนทานของแผ่นกระจก กระจกเนื้อเหนียวพิเศษ
กระจกไฟฟ้าที่สามารถเปลี่ยนจากทึบแสงเป็นโปร่งใสได้
กระจกป้องกันความร้อนสูง คลิกที่โลโก้ 
ผ่าลูกบิลเลียด

ใช้เลื่อยไฟฟ้า ผ่าลูกสนุกเกอร์
ดูว่าข้างในทำด้วยอะไร คลิกที่โลโก้ 
เสื้อทนไฟ

ซิป เป็นหุ่นทดลอง ที่สวมเสื้อทนไฟ
เมื่อฉีดไฟความร้อนสูง เข้าหาเขาทุกทิศทุกทาง เขาจะไหม้หรือไม่
คลิกที่โลโก้ 
เกร็ดวิทย์ชวนรู้:
บันไดเลื่อน.....ห้างดัง!
สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านครับ
อย่าพึ่งด่วนสรุปจากหัวข้อข้างต้นว่าบันไดเลื่อนห้างดังทำเหตุกลืนขาเด็ก
หรือ ดูดใครเข้าไปคาบันไดให้สยดสยองเล่น
ฟามจริงเอ้ย ความจริงคือ
เมื่อไม่นานมานี้ผู้เขียนได้ไปเดินซื้อสินค้าที่ห้าง
ห้างหนึ่ง ซึ่งเป็นลักษณะซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่
หลังจากเสร็จภารกิจการซื้อ การจ่าย
ผู้เขียนพร้อมรถเข็น(ของหนักจริงๆครับ ทั้งน้ำปลา
น้ำตาล ข้าวสาร)
จะเดินลงโดยบันไดเลื่อน
บันไดเลื่อนที่นี่จะเป็นแผ่นยาว
ไม่ได้เป็นขั้น
ซึ่งทำให้ลูกค้าสามารถเข็นบันไดเลื่อนได้สะดวกกว่า
หวังว่าผู้อ่านทุกท่านคงจะนึกภาพออกนะครับ
เมื่อผู้เขียนเข็น รถเข็นลงไป โอ้ว ไม่น่าเชื่อเลย
รถเข็นที่เคยเข็นได้กลับไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
ยังความสงสัยให้ผู้เขียนอย่างมาก
แต่ผู้เขียนไม่ได้ ทิ้งความสงสัยให้ลอยไปกับสายลม
ด้วยความเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้เขียนเลยตั้งสมมติฐานทันที
สมมติฐานแรกคือ
ใต้บันไดเลื่อนเนี่ยต้องเป็นแม่เหล็กขนาดใหญ่
แน่นอนเมื่อเราเลื่อนรถเข็นลงไป
แม่เหล็กด้านล่างก็เลยดูดรถเข็นไว้เหนียวหนึบ
(คิดได้ไง)
แต่ยังเชื่อไม่ได้จนกว่าจะได้พิสูจน์
ถ้าเป็นแม่เหล็กจริง มันต้องดูดติดโลหะ
ไม่รอช้าพวงกุญแจ bm ของเรา วางลงไปทันที
ติดแน่นอน แทนที่จะติดไปกับบันไดเลื่อน
มันกลับติดมือผู้เขียนดังเดิม
สรุปว่าแม่เหล็กใต้บันไดเลื่อนไม่มีจริง
เอ้าอย่าย่อท้อ ลองสังเกตให้ดีอีกที
รถเข็นไม่เลื่อน แสดงว่าล้อก็ต้องไม่เลื่อน ล้อ
ล้อแน่ๆ ไปหามุมสงบๆหงายท้องมันเลย
ล้อรถเข็นที่นี่ทำจากโลหะ
แต่ว่าหน้าล้อไม่เต็มเหมือนยางรถยนต์
แต่เว้าเข้าไปเป็นตัวยู
และที่สำคัญมียางติดอยู่ด้านใน เข้าทาง
ยางเป็นวัสดุชนิดหนึ่งที่มีความยืดหยุ่นตัวสูง
ในขณะเดียวกันเป็นวัสดุที่เกิดแรงเสียดทานในการเคลื่อนที่สูงด้วย
แล้วเกี่ยวกับบันไดเลื่อนอย่างไรหละ
ทดลองกันอีกที เข็นลงมาใหม่ ถึงบางอ้อเลยครับ
ที่บันไดเลื่อนแบบเป็นแผ่นยาวนี้จะมีลักษณะเป็นร่องถี่ๆ
ซึ่งเจตนาเพื่อให้ล้อที่เป็นเสี้ยวตัวยู
หล่นลงไปได้
ร่องนี้ลึกพอที่จะทำให้ยางที่อยู่ภายในสัมผัสกับผิวบันไดเลื่อน
แน่นอนครับทุกท่านเมื่อยางทั้งสี่ล้อของรถเข็นสัมผัสกับพื้น
แรงเสียดทานมหาศาลก็เกิดขึ้น
และนั่นก็เพียงพอที่จะทำให้รถเข็นไม่ไหวติง
นอกจากยางที่ช่วยไม่ให้รถเข็นไหลแล้ว
การที่บันไดเลื่อนมีลักษณะเป็นร่องที่วางสลับกัน
ช่วยให้ล้อตัวยูของรถเข็นไม่สามารถไหลลงไปได้ด้วยครับ จริงๆแล้วเรื่องยางกับแรงเสียดทานนี่นะครับ
เราๆท่านๆ
เรียกว่าพบเห็นกันในชีวิตประจำวันเสมอๆ เช่น
ผ้าเบรกจักรยาน สังเกต สัมผัสดู
รู้ว่ายางดีๆนี่เอง
หรือถ้าท่านใดอยากจะมาลองทดลองที่
พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ เรามีชิ้นงาน
เป็นรางทดสอบความเสียดทาน
โดยที่พื้นรางทำจากวัสดุต่างชนิดกัน เช่น ไม้
พลาสติก โลหะ และ ยาง แล้วปล่อยวัตถุให้ไหลลงมา
ก็จะทราบว่าวัสดุใด เกิดแรงเสียดทานมากน้อย
ต่างกันอย่างไร ครับ ก่อนจากกัน
วิทยาศาสตร์อยู่ใกล้เราแค่ปลายจมูก
ลองสังเกต ตั้งสมมติฐาน และ ทดลองให้เห็นผล
ผู้เขียนเชื่อว่าเราจะมีความสุขจากการค้นพบคำตอบ
สวัสดีครับ
westland

ที่มาของบันไดเลื่อน
และบันไดเลื่อนตัวแรกของไทย
บันไดเลื่อน มีวิวัฒนาการ มากจาก สายพาน ที่เลื่อนไปได้ ไม่มีจบสิ้น
ใช้สำหรับ นำสินค้า เลื่อนไปในโรงงาน ต่อมา มีการใช้สายพานนี้ วางเอียงๆ
เป็นเครื่องพา นักท่องเที่ยว ขึ้นไปบน หน้าผา นั่นเป็นรูปแบบดั้งเดิม
ของบันไดเลื่อน ที่ไม่มีขั้นบันได
สำหรับบันไดเลื่อน รูปแบบที่ใช้อยู่
ในปัจจุบันนั้น บันไดแต่ละขั้น จะยึดติดกัน และมี ล้อเลื่อนขึ้นลงได้
ไปตามรางใต้บันได ขั้นบันได จะเลื่อนไปสู่ ปลายด้านหนึ่ง ของบันไดเลื่อน
โดยจะค่อยๆ ลดระดับลง จนสุดที่ ปลายบันไดเลื่อน พาผู้ใช้ ขึ้นไปถึง
ที่พักบันได เพื่อเลื่อน กลับมา การทำงานของบันไดเลื่อน จะมีมอเตอร์ไฟฟ้า
หมุนเฟืองอันใหญ่ ฉุดให้ขั้นบันได เคลื่อนที่ นอกจากนี้ ยังฉุดราวบันได
ซึ่งเป็น สายพานวิ่งได้รอบ ให้เคลื่อนที่ตามด้วย สำหรับให้ ผู้ใช้บันไดเลื่อน
ยึดจับได้มั่น
ความเร็วของบันไดเลื่อนนั้น ประมาณ ๔๐ ฟุตต่อนาที แม้ลิฟท์ จะขนคนขึ้นที่สูง
ได้เร็วกว่า แต่บันไดเลื่อน ก็ยังเป็น สิ่งจำเป็นอยู่ดี เพราะ บันไดเลื่อน
เคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา ทำให้ ขนย้าย จำนวนคน ได้มากกว่าลิฟท์
ในเวลาเท่ากัน
ห้างสรรพสินค้า ไทยไดมารู ราชประสงค์ เป็นผู้นำ
บันไดเลื่อน ตัวแรก เข้ามาในเมืองไทย เปิดบริการเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๐๗
ปรากฏว่า ชาวกรุง แห่กันไป ใช้บันไดเลื่อน กันเนืองแน่น ยายของ "ซองคำถาม"
เอง ยังอุตส่าห์ นั่งรถจาก นครปฐม มาขึ้น บันไดเลื่อน กับเขาด้วย
ห้างสรรพสินค้า ไทยไดมารู ที่ติดตั้ง บันไดเลื่อนตัวแรกนี้ ตั้งอยู่ทางฝั่ง
ศูนย์การค้า เวิร์ลเทรดปัจจุบัน ต่อมา ห้าง ย้ายไปอยู่ ฝั่งตรงข้าม
ไม่ทราบว่า เขาย้ายบันไดเลื่อนตัวแรก ตามไปด้วยหรือไม่ ปัจจุบัน
อาคารห้างสรรพสินค้า ไทยไดมารู ถูกทุบทิ้ง ไปนานหลายปีแล้ว
ภาพโฆษณา
ห้างสรรพสินค้าไทยไดมารู และภาพผู้ได้รับเชิญ ไปทดลองใช้ บันไดเลื่อน
ที่นำมาให้ชมกันนี้ ศรันย์ ทองปาน ถ่ายเอกสารมาจาก
สยามรัฐ ฉบับวันที่ ๘
ธันวาคม ๒๕๐๗
Ocean in Motion: Waves - Tsunamis

EARTHQUAKES
----------LANDSLIDES------------VOLCANOES
ขวดมหัศจรรย์

สิ่งที่อยู่ในขวดมหัศจรรย์คืออะไร
- น้ำมัน
- แม่เหล็ก
- อากาศ
คลิกที่โลโก้ 
ทำความสะอาด
DVD (ดีวีดี)ป

ท่านจะได้เห็นว่ายาสีฟันสามารถทำความสะอาดดีวีดีได้จริงๆนะ
คลิกที่โลโก้ 
ยิงปืนทะลุกระป๋อง

ของเหลวในกระป๋อง
จะพุ่งออกมาทางใดเมื่อถูกยิง
- รูที่กระสุนพุ่งเข้า
- รูที่กระสุนพุ่งออก
- ไม่มีความแตกต่าง
คลิกที่โลโก้ 
ความร้อนกับสีดำ

เสื้อผ้าสีดำมีคุณสมบัติในการปกป้องสิ่งใดได้ดีกว่าเสื้อผ้าสีขาว
- ความเย็น
- การถูกเผา
- ไม่มีข้อใดถูก
คลิกที่โลโก้ 
นิวเคลียร์
Fusion

ท่านจะได้เห็นโรงงานนิวเคลียร์ Fusion
ที่ใช้สนามแม่เหล็กเก็บกักพลาสม่าความร้อนสูง
คลิกที่โลโก้ 
เวกเตอร์ (Vector)

เวกเตอร์ 2 มิติ
เวกเตอร์ 3 มิติ การประยุกต์เกี่ยวกับเวกเตอร์
คลิกครับ




วันที่ 14 มิถุนายน ของทุกปี
ถูกกำหนดให้เป็น "วันบริจาคโลหิตโลก" (World Blood Donor Day)
เพื่อเป็นวันที่ระลึกถึง ดร.คาร์ล แลนด์สไตเนอร์ (Karl Landsteiner)
ผู้ค้นพบหมู่โลหิตระบบเอบีโอ เป็นครั้งแรก

จากการที่สหพันธ์สภากาชาดสากล (International Federation of Red Cross
and Red Crescent) และองค์การอนามัยโลก (World Health Organization),
The International Federation of Blood Organization และ The
International Society of Blood Transfusion ได้กำหนดให้วันที่ 14
มิถุนายน ของทุกปี เป็น "วันบริจาคโลหิตโลก" (World Blood Donor Day)
เพื่อเป็นวันที่ระลึกถึง ดร.คาร์ล แลนด์สไตเนอร์ (Karl Landsteiner)
ผู้ค้นพบหมู่โลหิตระบบเอบีโอ เป็นครั้งแรก
ดร.คาร์ล
แลนด์สไดเนอร์ (Karl Landsteiner) เกิดเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ.
1868 ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ในครอบครัวนักกฎหมาย
และนักหนังสือพิมพ์ ที่ถือได้ว่ามีชื่อเสียงในยุคนั้น พออายุได้ 6 ขวบ
บิดาของเขาก็เสียชีวิต
คาร์ลมีความสนใจทางการแพทย์
มาตั้งแต่ต้น เขาได้เข้าศึกษาในวิชาแพทยศาสตร์ จนสำเร็จเป็นนายแพทย์
เมื่อปี ค.ศ. 1891 ต่อจากนั้น เขาก็ได้ทำงานทางด้านวิจัย
และค้นคว้าทางการแพทย์ เกี่ยวกับแบคทีเรียและพยาธิวิทยา
ในโรงพยาบาลที่กรุงเวียนนา และเริ่มสนใจ
เรื่องรากฐานของภูมิคุ้มกันและพยาธิวิทยา ตลอดระยะเวลาร่วม 20 ปี
ที่เขาทำการค้นคว้าวิจัยนั้น
เขาได้เขียนตำรา และเอกสารทางการแพทย์
ออกมามากมาย ซึ่งส่วนใหญ่มีประโยชน์
และมีความสำคัญ
ทางวิชาวิทยาศาสตร์การแพทย์เป็นอันมาก อาทิเช่น
ลักษณะของเนื้อเยื่อที่เป็นโรค
เรื่องภูมิคุ้มกันโรคของร่างกาย โรคเลือดในปัสสาวะ
สาเหตุของโรคไขสันหลังอักเสบ
และภูมิคุ้มกันของร่างกายที่มีต่อโรคนี้
และการค้นพบ ที่ทำให้เขาได้รับชื่อเสียงมากที่สุด
ก็คือ การค้นพบชนิดของหมู่เลือดในคน
 
ในสมัยนั้นการให้เลือดแก่ผู้ป่วย ยังไม่ค่อยได้รับผลสำเร็จนัก
เพราะเลือดที่ให้ มักตกตะกอนในสายเลือดของผู้ป่วย และเม็ดเลือดมักจะแตก
ทำให้ผู้ป่วยมีอาการช็อค เป็นดีซ่าน โดยคาร์ลได้ให้ข้ออธิบายไว้ว่า
ที่เป็นเข่นนี้ ก็เพราะเม็ดเลือดในคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน
จึงเป็นสาเหตุให้เกิดปฏิกิริยา ระหว่างเม็ดเลือดที่ต่างชนิดกัน
และเกิดการตกตะกอนขึ้น
ในปี ค.ศ. 1909
เขาได้ตีพิมพ์เอกสาร แสดงให้เห็นว่าเลือดของมนุษย์
สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายชนิด คือ เอ บี เอบี และโอ
และได้ทำการชี้แจงว่า การถ่ายเลือดจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่ง
ที่มีกลุ่มเลือดเดียวกัน เลือดจะไม่เกิดปฏิกิริยาตกตะกอน
นอกจากว่าบุคคลทั้งสอง จะมีเลือดคนละกลุ่ม ซึ่งการค้นพบในครั้งนี้
ก่อให้เกิดประโยชน์ทางการแพทย์อย่างมหาศาล จากการค้นพบในครั้งนี้
ทำให้คาร์ลได้รับรางวัลโนเบล ในปี ค.ศ. 1930 ต่อมาคาร์ลเสียชีวิตในปี
ค.ศ. 1943 ด้วยโรคหัวใจ รวมอายุได้ 75 ปี
ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั่วโลก
ก็ยังคงจัดงานอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปีนี้ โดยในปี 2005
นี้ได้กำหนดคำขวัญไว้ว่า "โลหิต...ให้เพื่อชีวิต" หรือ “Celebrating
your gift of blood”

ความเป็นมาของคาร์บอนเครดิต
ตามข้อตกลงในพิธีสารเกียวโต
กำหนดให้ประเทศพัฒนาแล้ว (Annex1)
ต้องลดปริมาณการปล่อยก๊าซที่ก่อให้เกิดปฏิกริยาเรือนกระจก
ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ "โลกร้อน" ในหลายแนวทาง
หนึ่งในนั้นคือ
"การซื้อขายมลพิษ" หรือ
คาร์บอนเครดิต กับประเทศที่กำลังพัฒนา (Non-Annex1)
เพราะประเทศที่พัฒนาแล้ว กำลังอยู่ในภาวะ
"จนแต้ม" จากการที่ไม่สามารถลดก๊าซ
ที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจกลงได้
เนื่องจากพิธีสารดังกล่าว
ที่มีผลบังคับใช้ไปแล้วเมื่อ 16 ก.พ.2549
โดยกำหนดให้ประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่ลงนามไว้ อาทิ
สหภาพยุโรป แคนาดา และญี่ปุ่น
ต้องลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ให้ต่ำกว่าระดับก๊าซที่เป็นมลพิษในปี 2533 โดยเฉลี่ย
5.2% ระหว่างปี 2551-2555
หากผู้ที่ร่วมโครงการไม่สามารถดำเนินการได้ตามข้อกำหนด
จะต้องมี "บทปรับ" โดยในสหภาพยุโรป
มีค่าปรับถึงตันละ 40 ยูโร
ตามแผนการลดมลพิษในระยะที่ 1 (2548-2550)
และเพิ่มค่าปรับเป็นตันละ100 ยูโร ตามแผนในระยะที่ 2
(2551-2555)
ซึ่งสูงกว่าราคารับซื้อหลายเท่าตัว
ปฏิบัติการ "ควานหา" (Matching)
ผู้ซื้อพบผู้ขายจึงเกิดขึ้น
จากดีมานด์ในประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะสหภาพยุโรป
เป็นเหตุ !
คาร์บอนเครดิตกับประเทศไทย
สำหรับประเทศไทยจัดว่าเป็นเพียงการเริ่มต้น
เพราะยังไม่มีโรงงานใด ที่ได้รับใบรับรอง (Certified
Emission Reduction-CERs) เมื่อเทียบกับ อินเดีย จีน
เวียดนาม เกาหลีใต้ บราซิล และอาเจนติน่า
บริษัทเอสจีเอส (ประเทศไทย) จำกัด
ซึ่งขยายไลน์จากตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพไอเอสโอ 9000
และ 14000 มาสู่การตรวจประเมินและรับรองโครงการ
(Designated Operational Entity-DOE) เครดิต คาร์บอน
บอกว่า
บริษัทเพิ่งเริ่มเข้าสู่ธุรกิจดังกล่าวในไทยเป็นปีแรก
หลังจากประสบความสำเร็จในการดำเนินการในอินเดีย
ซึ่งเอสจีเอสเป็นผู้ตรวจและยืนยันโครงการให้กับโรงงานอุตสาหกรรมกว่า
100 บริษัท
สำหรับบริษัทในไทย
เอสจีเอสได้เข้าไปตรวจรับรองเอกสารประกอบโครงการ
(Validation) ให้แก่ โรงไฟฟ้าขอนแก่น
ในเครือเคเอสแอล เป็นบริษัทแรก
โดยได้รับรองเอกสารดังกล่าวแล้ว
และขณะนี้ได้ส่งเอกสาร Recommend
ให้คอมมิททรีของสหประชาชาติรับรอง เพื่อออก CERs
ให้กับโรงไฟฟ้าขอนแก่น
เพื่อซื้อขายคาร์บอนเครดิตต่อไป
โดยคาดว่าโรงไฟฟ้าขอนแก่น น่าจะได้รับใบรับรองฯ เป็น
"รายแรก" ในไทย ราวปลายเดือนมีนาคม หรือ
ต้นเดือนเมษายนนี้ ในปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ลดได้
5.7 หมื่นตันต่อปี หรือคิดเป็นเงินในการซื้อขายราว
21 ล้านบาท (37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ)
จากการใช้ชานอ้อยเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า
ราคาซื้อขายคาร์บอนเครดิต คร่าวๆจะอยู่ที่ 10
ดอลลาร์สหรัฐต่อ 1 ตัน
โรงงานหนึ่งก็พูดกันที่ประมาณก๊าซที่ลดได้ปีละ 5
หมื่นตัน แต่ละโรงงานจะมีก๊าซที่เป็นมลพิษหลายตัว
เช่น มีเทน ซีเอฟซี ฯลฯ แต่เราจะแปลง
(Transfer)ให้อยู่บนพื้นฐานของคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมด
เพื่อให้ง่ายต่อการคำนวณ"
ปัจจุบันโรงงานในไทยจำนวน 19 แห่ง
ที่ประสงค์จะขอซื้อขายคาร์บอนเครดิต
และผ่านการรับรองจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(สผ.) และคณะรัฐมนตรีแล้ว
ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจรับรองเอกสารประกอบโครงการ
(Validation)
จากบริษัทตรวจประเมินและรับรองโครงการรายอื่นๆ
ขั้นตอนการขออนุญาตซื้อขายเครดิตตาร์บอน
1.เมื่อโรงงานต้องการจะทำเรื่องคาร์บอนเครดิต
ขั้นตอนแรกจะต้องจ้างบริษัทที่ปรึกษา
เพื่อไปจดทะเบียนกับหน่วยงานราชการ
รับรองว่าโรงงานของคุณเข้าหลักการที่สามารถทำได้
ปัจจุบันรัฐบาลมอบหมายให้
สผ.ตั้งคณะกรรมการขึ้นมารองรับไปก่อน
2.เพื่อผ่านการรับรองจากสผ.แล้ว
ก็ต้องมาผ่านการรับรองจากคณะรัฐมนตรี
ปัจจุบันโรงงานในไทยจำนวน 19 แห่ง
ที่ประสงค์จะขอซื้อขายคาร์บอนเครดิต
และผ่านการรับรองจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(สผ.) และคณะรัฐมนตรีแล้ว
ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจรับรองเอกสารประกอบโครงการ
(Validation)
จากบริษัทตรวจประเมินและรับรองโครงการรายอื่นๆ
3.จากนั้นจะต้องส่งเรื่องไปให้
สหประชาชาติรับรอง ในชั้นต้น
4.ให้บุคคลที่สามอย่างเอสจีเอสเข้าไปตรวจ
เมื่อตรวจแล้ว
ก็ต้องส่งเอกสารการตรวจสอบกลับไปให้สหประชาชาติพิจารณาอีกครั้ง
5.คณะกรรมการของหน่วยงานสหประชาชาติ
จะออกใบรับรองที่มีอายุ 1 ปี "
แม้ขั้นตอนจะค่อนข้างยุ่งยากซับซ้อน แต่ต่อไป
เรื่องนี้จะเป็นประเด็นร้อน
ที่สร้างรายได้ให้กับหลายบริษัทในไทย
แม้แต่ยักษ์คอร์ปอเรทในไทย อย่าง เครือซิเมนต์ไทย
(ธุรกิจในทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์)
ยังขยับที่จะขายคาร์บอนเครดิต
โดยเริ่มดำเนินการในส่วนของโรงปูนซีเมนต์
ขณะนี้กำลังจะเริ่มขั้นตอนการออกแบบโครงการ (Project
Design) ซึ่งอยู่ในขั้นเริ่มต้นมากๆ
ธุรกิจที่เหมาะส
มกับการซื้อขายคาร์บอนเครดิต
ธุรกิจที่มีศักยภาพในการดำเนินการ
จะเป็นธุรกิจที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Energy)
เช่น โรงไฟฟ้าชีวมวล เขื่อน
ธุรกิจบำบัดน้ำเสียด้วยชีวมวล โรงปูนซีเมนต์ เป็นต้น
แต่การสร้างใหม่น่าจะคุ้มค่ากว่าการปรับปรุงเครื่องจักรเก่า
เพราะถ้าปรับปรุงได้ ประเทศพัฒนาแล้วทางฝั่งตะวันตก
คงจะลงทุนเปลี่ยนระบบการผลิตดีกว่าจะยอมมาซื้อเครดิต
จากประเทศกำลังพัฒนา
โรงงานเก่าก็สามารถทำได้
แต่ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่ามีเทคโนโลยีใหม่ๆ มาลดมลพิษ
ซึ่งอาจจะต้องลงทุนมากกว่า แต่ถ้าเป็นโรงงานใหม่
ก็สามารถคุยกับที่ปรึกษาฯได้เลยว่า
เข้าข่ายที่จะทำได้หรือไม่
ซึ่งจะส่งผลดีต่อการไฟแนนซ์โครงการ
จากรีเทริ์นที่จะกลับมาจากการขายคาร์บอนเครดิต
ซึ่งอาจจะคุ้มค่ากับเงินที่ลงทุนเรื่องเทคโนโลยี
ที่จะมาลดปฏิกิริยาเรือนกระจก"
ด้าน มร.ซานดี้ มัคคินนอน
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท McKinnon &
Clarke
บริษัทที่ได้รับอนุญาตในการซื้อขายคาร์บอนเครดิต
(Emission Trader) สัญชาติยุโรป บอกว่า
เขาได้จะเป็นบริษัทต้นๆ
ที่เข้ามาดำเนินการการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในไทย
โดยได้ตั้งหน่วยงานใหม่ด้านบริการสิ่งแวดล้อม
(Environmental Services) ในไทย
เพื่อดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง
โดยเห็นว่าประเทศกำลังพัฒนาเช่นไทย
มีต้นทุนต่ำหากจะลดการใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
จึงมีโอกาสที่จะขายคาร์บอนเครดิตจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทนให้กับประเทศที่พัฒนาแล้ว
จะขายคาร์บอนเครดิต
ต้องลงทุนสูง มีขั้นตอน
แต่สหภาพยุโรปพร้อมจ่าย
เราคิดว่าธุรกิจเทรดคาร์บอนเครดิต
จะเป็นธุรกิจที่จะโตต่อไป
นอกจากเราจะเข้ามาช่วยลูกค้าเรื่องไฟแนนซ์แล้ว
ก็ยังจะเกิดประโยชน์กับสิ่งแวดล้อม
ในการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง
โดยเราจะมีซอฟว์แวร์เพื่อเข้าไปช่วยลูกค้า
ช่วงนี้ถือเป็นช่วงเริ่มต้นดำเนินการ ซึ่งเราต้องแน่ใจเกี่ยวกับมาตรการต่างๆของรัฐบาล
ว่าวิธีการทำงานเป็นอย่างไรก่อน" เขาระบุ
อย่างไรก็ตาม เขาเห็นว่า
เรื่องการลงทุนลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ยังคงเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงสำหรับลูกค้าคนไทย
เพราะค่อนข้างใช้เงินลงทุนสูง
หากลงทุนแล้วไม่ได้รับใบรับรองเพื่อนำไปสู่การซื้อขายคาร์บอนเครดิตในอนาคต
การดำเนินการต่างๆ จึงต้องทำเป็นขั้นเป็นตอน
เพื่อให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด โดยเขาระบุว่า
การซื้อขายคาร์บอนเครดิต ในสหภาพยุโรป
มีวิธีการที่ง่าย แค่ยกบิลค่าไฟฟ้าให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดู
เท่านี้ก็ได้เงินกลับคืนมา
ถ้าเทียบกับในไทยที่มีความซับซ้อนมากกว่า
คาร์บอนเครดิต
ทำแล้วได้อะไร
การซื้อขายคาร์บอนเครดิต
ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้มลพิษลดลง
เพราะคนอื่นเป็นคนก่อแต่เราเป็นคนเข้าไปแก้
แต่อย่างน้อยก็สร้างแรงจูงใจ
ให้กับโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ
ในการลงทุนเพื่อลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ถ้าลดแล้วสามารถนำไปซื้อขายกันได้ในอนาคต
จะสร้างแรงจูงใจให้ทุกคน เกิดความกระตือรืนร้น
ที่จะทำอะไรเพื่อสิ่งแวดล้อมขึ้นมา
แม้ว่าราคาซื้อขายคาร์บอนเครดิตในปัจจุบัน
จะไม่จูงใจผู้ขายมากนักก็ตาม
พิธีสารเกียวโต
ยังไม่ทำให้เกิดการลดการใช้คาร์บอนไดออกไซด์ลงอย่างมากมาย
เพราะราคาซื้อขายยังไม่สูงพอที่จะสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลดการใช้พลังงาน
หรือปล่อยคาร์บอนฯ
ต้องผมเชื่อว่าราคาซื้อขายในปี2551-2555 จะสูงขึ้น
จากเกณฑ์การลดปริมาณการใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่จะเข้มงวดมากขึ้น"
สาเหตุที่สหรัฐอเมริกา
ซึ่งเป็นผู้ปล่อยมลพิษสูงสุดในโลก
แต่กลับไม่ยอมลงนามในพิธีสารเกียวโตนั้น
เพราะเกรงว่าธุรกิจจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน
อเมริกา แต่สำหรับประเทศอังกฤษ ยุโรป
แม้จะเป็นประเทศที่ไม่ใหญ่
แต่ก็เริ่มมีการดำเนินการเรื่องนี้
ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการ Back UpUp
การสำรวจข้อมูลและไฟล์ระบบเอาไว้แต่เนิ่นๆ
เป็นสิ่งที่ควรทำหลังจากที่คุณได้ใช้งานคอมพิวเตอร์ไปสักระยะ
เพราะมันจะไม่ทำให้คุณต้องมานั่งคอตกในยามที่วินโดวส์ได้รับความเสียหายจนไม่อาจเข้าไปเอาข้อมูลคืนได้!!!
ปัญหาระบบวินโดวส์ล่มข้อมูลสูญหาย
ไวรัสกล้ำกรายเป็นสิ่งที่เราพบเห็นกันจนชินตา
ในปัจจุบันซึ่งผู้ใช้บางคนที่ไม่ทราบวิธีแก้ปัญหาก็ได้แต่ยกเครื่อง
ไปที่ร้านซ่อมคอมพ์ และเสีย 300 บาท เพื่อรักษาทุกอาการ!
โดยวิธีการปัญหาของร้านพวกนี้ก็คือ
หากเข้าไปเอาข้อมูลที่คุณต้องการไม่ได้พวกเขาก็มักจะบอกคุณว่า
"ต้องลงวินโดวส์ใหม่"
จากนั้นก็จัดการโคลนนิ่งวินโดวส์พร้อมโปรแกรมต่าง ๆ
จากฮาร์ดดิสก์ตัวหลักที่ใช้ประจำ ไปยังฮาร์ดดิสก์ของคุณ
ใช้เวลาไม่ถึง 20 นาที ก็ได้วินโดวส์พร้อมโปรแกรมคืนมา
แต่ทว่าโปรแกรมประเภท Anti Virus หากโคลนนิ่งมาแล้ว
เมื่อถึงเวลาต้องอัพเดตแพตช์มันจะไม่สามารถทำได้
เพราะไม่ได้ลงทะเบียนอย่างถูกต้อง ซึ่งทำให้เมื่อใช้ไปนานๆ
พอมีไวรัสใหม่ๆ มาโปรแกรม Anti Virus
จะไม่มีไฟล์แพตเทิร์นของไวรัสพวกนี้
ผลที่ตามมาก็คือคอมพิวเตอร์ของคุณจะไร้ซึ่งภูมิคุ้มกัน
และหากติดไวรัสเข้าละก็ ปัญหาระบบวินโดวส์ล่ม ข้อมูลสูญหาย
ก็คงจะเกิดขึ้นได้อีกครั้ง
มาแบ็กอัพข้อมูลกันเถอะ คุณพร้อมหรือยังสำหรับการแบ็กอัพ?
เพราะความเสี่ยงที่ข้อมูลและไฟล์ระบบได้รับความเสียหายจะลดลงหากคุณเริ่มต้นแบ็กอัพตั้งแต่ตอนนี้
โดยที่ไม่ต้องมองหาเครื่องมือหรือโปรแกรมภายนอกมาช่วยเลยก็ยังได้
เพราะวินโดวส์ได้เตรียมมาให้คุณแล้ว
หากจะถามว่าการแบ็กอัพข้อมูลและไฟล์ระบบมีประโยชน์อย่างไรบ้าง?
อย่างแรกเลยก็คือ
คุณสามารถเรียกข้อมูลกลับคืนมาได้ทุกเวลาที่ต้องการ
และอย่างที่สองนั้นหากวินโดวส์เกิดล่มขึ้นมาจริง ๆ
คุณก็มีวิธีรับมือกับมันด้วยตัวเอง
นอกจากนั้นหากคุณมั่นแบ็กอัพข้อมูลอยู่เป็นประจำแล้วละก็ระบบคอมพิวเตอร์ของคุณก็จะมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น
นั่นก็เพราะว่าคุณได้เตรียมการรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อเอาไว้แต่เนิ่นๆ
แล้ว...
ก่อนอื่นเราไปดูกันว่าระบบปฏิบัติการวินโดวส์ที่คุณใช้นั้น
มีเครื่องมือหรือยูทิลิตี้อะไรบ้างสำหรับการแบ็กอัพข้อมูลและเรียกาคืนกลับมา
เมื่อต้องการซ่อมแซม (บทความตอนนี้จะอ้างอิงถึงผู้ใช้ Windows XP
เป็นหลัก)
System Restore
หนึ่งในโปรแกรมแบ็กอัพและรียกข้อมูลกลับคืน
ที่หลายคนมักจะไม่ค่อยใช้งานนั้น ด้วยเหตุผลเดียวที่ว่า
"ไม่รู้จะใช้ทำอะไร" เพราะไม่ทราบวิธีการใช้งานนั่นเอง!
ซึ่งอันที่จริงแล้วโปรแกรม System Restore
ใช้งานง่ายกว่าที่คุณคิดซะอีก
เพราะวินโดวส์จะสร้างจุดสำหรับแบ็กอัพเพื่อใช้ในการเรียกข้อมูลกลับคืนให้เป็นระยะๆ
อยู่แล้ว (อัตโนมัติ) ดังนั้น
หากวินโดวส์มีปัญหาคุณก็สามารถใช้การ Restore ได้ทันที
นอกจากนั้นหากคุณต้องการกำหนดจุดแบ็กอัพเองเพื่อเพิ่มความถี่ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน
เพียงแต่ต้องเรียนรู้เทคนิคอีกนิดหน่อย
ซึ่งไม่ยากเกินไปสำหรับคุณแน่นอน
Backup Utility
สำหรับโปรแกรมตัวที่สองนี้
ค่อนข้างมีสมรรถนะการทำงานที่สูงพอตัว
เพราะไมโครซอฟท์ได้เลือกใช้ซอฟต์แวร์ของ VERITAS
ซึ่งเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงด้านซอฟต์แวร์โซลูชันและดาต้าเบส
Backup Utility
ช่วยให้ผู้ใช้ที่ต้องการแบ็กอัพข้อมูลและไฟล์ระบบสามารถทำได้ง่ายขึ้นเพราะมีโหมดการทำงานอย่าง
Wizard ที่เพียงแคคลิ้กเมาส์ตามก็ได้เช่นกัน
ซึ่งโปรแกรมก็ได้เตรียมเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ มาให้เพียบ
รับรองว่าลองใช้ดูแล้วจะรู้ว่าดีจริง! คุณสามารถใช้โปรแกรม
Backup Utility โดยไปที่
Start->All Programs -> Accessories -> System Tools
->Backup
แบ็กอัพข้อมูลด้วยอุปกรณ์ฮาร์แวร์ สำหรับการแบ็กอัพข้อมูลโดยใช้อุปกรณ์นั้น
แน่นอนว่าย่อมลดความ เสี่ยงจากการที่ข้อมูลอาจสูญหายได้อีกขั้น
นั่นก็เพราะคุณได้สำรองข้อมูลเอาไว้มากกว่าหนึ่งที่
ซึ่งอาจจะไม่ใช่ในฮาร์ดดิสก์เพียงอย่างเดียวอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับแบ็กอัพข้อมูลในปัจจุบันก็ได้แก่ฮาร์ดดิสก์แบบติดตั้งภายนอกผ่านพอร์ต
USB เทปแบ็กอัพ ที่มักจะใช้กับการสำรองข้อมูลขนาดใหญ่ ซิปไดรฟ์
(Zip Drive) เครื่องบันทึก DVD/CD
นอกจากนั้นยังมีการใช้แฟลชเมโมรี่ความจุสูง
รวมทั้งไมโครไดรฟ์ที่ใช้กับอุปกรณ์โมบายมาแบ็กอัพข้อมูลด้วยเช่นกันซึ่งทำให้ข้อมูลสำคัญๆ
ของคุณยังคงถูกรักษาเอาไว้
แม้ฮาร์ดดิสก์หลักของระบบจะได้รับความเสียหายก็ตาม ดังนั้น
หากคุณมีงบเหลือพอที่จะซื้ออุปกรณ์แบ็กอัพข้อมูลสักชิ้นก็จะดีไม่น้อย!
 ข้อมูลจาก Action
(คอมพิวเตอร์.ทูเดย์)
สุดยอดการแปลง PDF
เป็น word เนียนมาก ๆ ได้ผล
99.99%
วันนี้ผมมีโปรแกรมแปลง PDF เป็น word
มาแนะนำใช้ได้ผลดีมาก ๆ เลย ด้วยโปรแกรม Able2Extract 3.0
ดาวน์โหลดได้โปรแกรมได้ที่นี่
เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า
1. หลังการติดติดตั้งให้เปิดโปรแกรมขึ้นมา ให้คลิกที่ Open
ดังรูปด้านล่าง เพื่อหาไฟล์ PDF ที่ต้องการแปลง

2. ให้ทำการเลือกตำแหน่งที่ต้องการแปลง
หรือถ้าต้องการแปลงทั้งหมดก็ไปที่เมนู Edit > Select All
Pages

3. คลิกที่ตัว W ดังรูปด้านล่าง

4. คลิกที่ Convert

5. แล้วคลิกที่ Convert อีกครั้ง

6. จากนั้นตั้งชื่อไฟล์ และเลือกว่าจะเก็บไว้ที่ไหน
แล้วคลิกที่ Save

เพียงเท่านี้คุณก็สามารถแปลงไฟล์ PDF เป็น word ได้แล้วครับ

E-Book หนังสือยุคใหม่ที่อาจจะมาแทนกระดาษ ? สังคมไร้กระดาษ (Paperless)
เป็นแนวคิดการคาดการณ์ทางสารนิเทศศาสตร์ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี
ค.ศ.1975 ผ่านบทความหนึ่งที่ตีพิมพ์ใน Business
Week
ภายหลังจากการกำเนิดของเครื่องพีซี(PC-Personal
Computer) ขณะเดียวกันข้อมูล ข่าวสารต่างๆ
ก็สามารถเก็บไว้ในฐานข้อมูลรูปแบบต่างๆ
ในลักษณะดิจิตอลแทนการตีพิมพ์ลงกระดาษ
โดยคาดการณ์กันว่าในอนาคตสังคมมนุษย์จะเลิกใช้กระดาษทั้งการพิมพ์เพื่ออ่านและการเขียน
ในยุคที่ทุกสำนักงานมีเครื่องอินเตอร์เนตความเร็วสูงใช้กันทุกคน,
สังคมบนโลกเสมือนก็แพร่ขยายมากขึ้นอย่างเป็นประวัติการณ์ภายหลังการเกิดเว็บไซต์ประเภท
Blog
แนวคิดดังกล่าวดูจะได้รับการตอกย้ำมากขึ้นกว่าสมัยอดีต
และล่าสุดกับผลิตภัณฑ์ประเภท E-Books
เครื่องที่สามารถดาวน์โหลดหนังสือต่างๆ
มาอ่านได้บนหน้าจอในลักษณะไฟล์แบบ Pixel
บทความจากรอยเตอร์ เรื่อง E-books read well, but readers
prefer paper
เป็นการรายงานสถานการณ์ปัจจุบันของเครื่องมือประเภท
E-Book
ที่แม้ปัจจุบันจำนวนสมาชิกหนังสือพิมพ์จะน้อยลงจากการเปิดอ่านทางอินเตอร์เนตแทน
แต่ตรงกันข้ามกับยอดขายของผู้อ่านหนังสือทางสื่ออิเล็คทรอนิคส์ที่ยังไม่อาจเทียบได้เลยกับตลาดหนังสือที่ตีพิมพ์บนแผงทั่วไป
Sony Reader
Digital Book วางจำหน่ายเมื่อเดือนตุลาคม
2007
Kindle
วางจำหน่ายเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2007
นับเป็นการลงทุนที่ผิดพลาดของบริษัท
และผู้ขายเทคโนโลยีหนังสือดิจิตอลหลายต่อหลายรายที่ไม่ประสบความสำเร็จกับสินค้าที่พวกเขาผลิต
โซนี่ ขายเครื่องอ่านหนังสือที่ชื่อ Reader
Digital Book เพียง 299 เหรียญฯ
หรือแม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่บนโลกออนไลน์อย่าง
Amazon ก็ยังต้องขายเครื่อง Kindle เพียง 399
เหรียญฯ ทั้งๆ
ที่เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้ผู้อ่านทั้งหลายไม่ต้องแบบนิยายปกแข็งเล่มหนา
แถบยังมีรายการให้เลือกดูไม่ต่ำกว่า 200 เรื่อง
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หนอนหนังสือหลายคนจึงมอง
เครื่องมือดิจิตอลเหล่านี้แล้วร้องยี้
อุทานตามโฆษณาชาเขียวชื่อดังว่า “มันไม่ใช่อะกิ๊บ
! มันไม่ใช่ !”
“ฉันเชื่อว่าความผิดพลาดคือมันลืมความรู้สึกที่เราถือหนังสือค่ะ
มันทำให้เราเห็นความพยายามของคนๆ
หนึ่งในการรังสรรค์มันขึ้นมา
คุณจะเสียอารมณ์นั้นไปเมื่ออ่านหนังสือดิจิตอล”
แคธี่ ฟาริน่า นักศึกษาวัย 21 ปี จากมอนโกเมอรี่
รัฐนิวเจอร์ซี่ แสดงความคิดเห็น
เธอเรียนอยู่ที่วิทยาลัยด้านศิลปะและการออกแบบ
มินนิอาโปลิส และมักเลือกซื้อหนังสือจากร้าน
Borders ใกล้กับเมดิสัน สแควร์ การ์เด้น
โดยยืนอ่านจนเวลาปิด
จนรู้สึกดีกับกลิ่นของหนังสือที่แผ่ซ่านไปทั่วร้านเลยทีเดียว
“ฉันรู้สึกได้จริงค่ะ
มันทำให้คนอ่านจมดิ่งไปกับเรื่องราวได้มากกว่า”
เธอกล่าว
แฮร์รี่ โฮลว์ อาจารย์สอนบัญชี ณ มหาวิทยาลัย
Geneseo และใช้ชีวิตในโรเชสเตอร์ ของนิวยอร์ค
ซึ่งเพิ่งซื้อ Surrender Is Not an Option
ที่เขียนโดย จอห์น โบลตัน อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ
ประจำสหประชาชาติ เผยว่าเขาอาจจะใช้ E-Book
ในการอ่าน Blog หรือ เว็บไซต์
ถ้าเขาอยากจะอ่านอะไรนอกบ้าน
แต่ไม่ใช่กับการอ่านนิยายแน่นอน
“มันไม่ใช่แค่เรื่องทางภายนอกนะครับที่ผมรู้สึกดีกว่า
ส่วนเหตุผลอีกประการคือผมไม่ได้อ่านอะไรที่ประเทืองปัญหาในเว็บไซต์ทั้งหลาย”
อย่างไรก็ตาม
ฟาริน่าเองก็มองว่ากรณีที่จะใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ก็เมื่อเดินทาง
เพราะเธอคงเอาหนังสือติดตัวไปหลายเล่มไม่ได้ ซึ่ง
เจน ฟรายด์แมน ซีอีโอ ประจำ HarperCollins
Publishers Worldwide
เห็นว่าเป็นจุดเด่นสำคัญของเครื่องมือประเภทนี้
เธอชี้ว่าแรกเริ่มนักอ่านทั้งหลายย่อมไม่ชิน
ไม่กล้าที่จะใช้อุปกรณ์พวกนี้
แต่พอพวกเขาเห็นข้อดีตรงนี้ ก็จะคุ้นเคยไปเอง
ฟรายด์แมนยืนยันเธอเป็นคนหนึ่งที่คิดเสมอว่า
“เราจะหาประสบการณ์แทนการเปิดอ่านหนังสือด้วยมือได้สักแค่ไหน
? ฉันยังคงสัมผัสความรู้สึกนี้ได้กับหนังสือเล่ม
แต่ก็ไม่ได้เป็นกับหนังสือทุกเล่มที่อ่านนะคะ”
ไม่ว่าทาง โซนี่ หรือ Amazon
จะมองว่ายอดขายของผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะไม่ตรงเป้า
แต่หลายคนก็ให้ความสนใจอยากลองใช้ ผู้บริหารของ
Amazon เผยว่าในงาน Consumer Electronics Show
ที่ลาสเวกัสสัปดาห์ก่อน เครื่อง Kindle
สามารถขายหมดตั้งแต่วันแรกภายในเวลาแค่ 5
ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น
ด้วยข้อดีที่สามารถซื้อหนังสือมาอ่านผ่านเครื่องได้ด้วยระบบไร้สาย
ง่ายไม่ต่างกับการสั่งซื้อหนังสือทางเว็บไซต์
Amazon
ราคาก็ถูกกว่าหนังสือเล่มหลายดอลลาร์เพราะไม่ต้องเปลืองค่าหมึก
หรือเย็บเล่ม เช่นเดียวกับ E-Book ของ โซนี่
ที่ดาวน์โหลดได้ผ่านทางเครื่อง PC
โดยใช้ซอฟต์แวร์ของบริษัท
Sony Reader
Digital Book แบบแถมปกหนังหุ้มสวยงาม
แม้แต่ทางโซนี่เองก็พยายามหากลยุทธ์ใหม่ให้ผู้อ่านรู้สึกจับต้องได้กับ
E-Book นั่นคือปกหนังหุ้มอย่างสวยงาม
ซึ่งโฮลว์ถึงกับชมเปาะว่า “ผมว่ามันทำให้ดูภูมิฐาน
ดูย้อนยุคดีด้วย! ” อาจเป็นได้ว่า
รสนิยม กับ รูปลักษณ์
สามารถปรับเปลี่ยนได้เสมอในโลกปัจจุบัน
ยัติภังค์ แปลจากบทความ
E-books read well, but readers prefer paper
สำนักข่าวรอยเตอร์(Reuters Life!) โดย โรเบิร์ต
แม็คมิลแลน วันที่ 10 มกราคม 2008 ข้อมูล
Paperless จาก Wikipedia.org
ภาพจาก http://images.pcworld.com/reviews/graphics/139829-kindle_%20front.jpg http://www.techshout.com/images/sony-prs505-reader.jpg http://regmedia.co.uk/2007/01/17/sony_reader_1.jpg

เตาเผาขยะอุตสาหกรรม แห่งแรกของประเทศไทย
ทุกวันนี้ทั่วประเทศไทยมีโรงงานอุตสาหกรรมที่สร้างของเสียอันตรายประมาณ
20,000
แต่ละปีโรงงานเหล่านี้ได้สร้างของเสียอันตรายกว่า
1.3 ล้านตัน ในจำนวน 74,000 ตัน
จะต้องถูกทำลายโดยวิธีการเผาด้วยเตาอุณหภูมิสูง ที่ผ่านมาของเสียบางส่วนต้องถูกส่งไปทำลายที่ต่างประเทศ
ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก และมีผู้ประกอบการบางรายนำกากสารพิษไปฝังกลบ
ซึ่งก่อให้เกิดการปนเปื้อนในดินและจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชนในระยะยาว ด้วยเหตุนี้ "ศูนย์บริหารจัดการวัสดุเหลือใช้อุตสาหกรรม"
หรือเตาเผาขยะอุตสาหกรรม จึงเกิดขึ้น
"ในอดีตเรามีกฎหมายแต่ไม่เข้มงวด
โรงงานส่วนหนึ่งจึงหลบเลี่ยงได้ง่าย
บางโรงงานแอบเอาขยะอันตรายไปฝังกลบ
ซึ่งจะมีผลต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชนในระยะยาว
บางโรงงานที่มีความรับผิดชอบหน่อยก็จะส่งไปเผาที่โรงงานผลิตปูนซีเมนต์
ซึ่งเขารับเผาขยะอุตสาหกรรมด้วย
แต่บางโรงงานที่มีมาตรฐานสูง ๆ
ซึ่งสวนใหญ่จะเป็นโรงงานข้ามชาติ
เขาจะค่อนข้างแคร์เรื่องกฎหมายสิ่งแวดล้อมก็จะยอมส่งขยะอุตสาหรรมไปทำลายที่ต่างประเทศ
ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก
ขยะตันหนึ่งต้องเสียค่าทำลายเป็นแสนบาท
ทางรัฐบาลจึงได้ก่อตั้ง
'ศูนย์บริหารจัดการวัสดุเหลือใช้อุตหสากรรม' หรือเตาเผาขยะอุตสาหกรรมขึ้น"
เริงชัย เรืองพยุงศักดิ์
ผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการวัสดุเเหลือใช้อุตสาหกรรม
กล่าว
เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2549
กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้พาคณะสื่อมวลชนไปดูงานและเยี่ยมชมโครงการ
"ศูนย์บริหารจัดการวัสดุเหลือใช้อุตหสากรรม"
หรือเตาเผาขยะอุตสาหกรรมประสิทธิภาพสูงแห่งแรกของเมืองไทย
และในวันเดียวกันนี้ กรมสรรพสามิตร
กระทรวงการคลังก็ได้นำของกลางที่เกี่ยวข้องกับ
พ.ร.บ. ยาสูบ ซึ่งดำเนินคดีเสร็จสิ้นแล้ว ได้แก่
บุหรี่ต่างประเทศและในประเทศ 1,017,556 ซอง
187,963 มวน 5,250 กรัม และยาเส้นอีก 1,187,944.80
กรัม
มาเผาทำลายที่เตาเผาขยะอุตสาหกรรมแห่งนี้ด้วย
โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายวราเทพ
รัตนากร ให้เกียรติมาเป็นประทานในครั้งนี้ด้วย
โครงการนี้ก่อตั้งขึ้นจากมติของคณะรัฐมนตรีเมื่อปี
2541 เริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อวันที่ 29
กันยายน 2544 แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 27 กันยายน
2547 ใช้งบประมาณทั้งหมด 1,486
ล้านบาท ตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู
จังหวัดสมุทปราการ
เตาเผาขยะอุตสาหกรรมแห่งนี้สามารถเผาทำลายกากอุตสาหกรรมอันตราย
ขยะติดเชื้อ และกากสารพิษต่าง
ๆ ได้เผาในอุณหภูมิสูงทำให้เกิดการเผาไหม้ที่สมบูรณ์
และพิเศษคือ เป็นเตาที่มีระบบฟอกอากาศ
และระบบบำบัดขึ้เถ้าที่เกิดจาการเผาในตัว
ทางกรมโรงงานฯ
จึงกล้ายืนยันว่าจะไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่าง ๆ
ตามมาอย่างแน่นอน
"เราได้นำเข้าเทคโนโยลีล่าสุดมาจากต่างประเทศ
แต่นำเข้ามาประกอบในเมืองไทยเพื่อประหยัดต้นทุน ดำเนินการออกแบบและก่อสร้างซึ่งจะต้องผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญทุกกระบวนการ
สามารถเผาได้ชั่วโมงละ 2
ตัน โดยเหลือปริมาณเถ้าตะกอนเพียงแค่ 4
% ก่อนที่เราจะปล่อยควันออกไปก็ได้มีการดักกากเถ้าลอย
และบำบัดอากาศ เตาของเราจึงมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับของประเทศที่เจริญแล้ว
และอาจจะดีกว่าบางที่เสียด้วยซ้ำ" ผอ.
ศูนย์บริหารจัดการวัสดุเหลือใช้อุตสาหกรรม ยืนยัน
เตาเผาขยะแห่งนี้จะเปิดทำงานตลอด 24 ชั่วโมง
ความสามารถในการเผา 48
ตันต่อวัน เผาในอุณหภูมิ 1,100 องศาเซลเซียส
ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง
ควบคุมการทำงานทั้งหมดด้วยระบบ PLC
(Programmable Logic Controll)
พร้อมด้วยระบบฟอกอากาศเสียสมรรถภาพสูง
และระบบบำบัดกากเถ้าลอย เถ้าหนัก
โดยการปรับเสถียรทำให้เป็นก้อนแข็งก่อน
แล้วจึงนำไปฝังกลบยังหลุมฝังกลบกากต่อไป
"ขณะนี้เราเปิดรับขยะอันตรายจากโรงงานอุตสาหกรรมแล้ว
โรงงานไหนที่สนใจก็สามารถแจ้งมาที่เรา
แล้วเราจะไปเก็บตัวอย่างมาตรวจประเภทของขยะ
เพื่อจะได้รวบรวมเผาขยะประเภทเดียวกันพร้อม ๆ กัน
หลังจากนั้นก็ให้โรงงานนำขยะเข้ามาที่ศูนย์ฯ
เราจะตรวจอีกครั้ง
ก่อนจะนำไปเผา ซึ่งเราคิดราคาตันละประมาณ
10,000 บาท แล้วแต่ประเภทของขยะ
ซึ่งถือว่าถูกกว่าต่างประเทศเกือบสิบเท่า
อยากให้โรงงานที่มีขยะอันตรายส่งมาให้เราจัดการ
ดีกว่าจะไปฝังกลบเอง ซึ่งนอกจากจะผิดกฏหมายแล้ว
ยังอันตรายในระยะยาวด้วย" เริงศักดิ์ กล่าว
ขณะนี้ศูนย์บริหารจัดการวัสดุเเหลือใช้จากอุตสาหกรรม
หรือเตาเผาขยะอุตสาหกรรมกำลังอยู่ในระห่วางการรอความเห็นชอบจาก
ครม.
เพื่ออนุมัติให้จัดหาเอกชนเข้ามาเช่าดำเนินการต่อไป
หากดำเนินการอย่างเติมที่
โครงการนี้จะสามารถช่วยกำจัดกากอุตสาหกรรรมและกากสารพิษอันตรายได้ปีละประมาณ
15,000 ตัน
ซึ่งจะช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมด้านกากอุตสาหกรรม
ด้านมลพิษทางอากาศในบริเวณที่มีโรงงานอุตสาหกรรมหนาแน่น
"หากดูสัดส่วนเตาเผาขยะอุตสาหกรรมกับจำนวนขยะแล้ว
วันนี้คงยังไม่เพียงพอกับปริมาณขยะ ถ้าจะให้พอ
ประเทศไทยคงต้องการเตาเผาขยะแบบนี้อีก 5 โรง
แต่เตาเผาขยะแห่งนี้เราจะใช้เป็นโครงการนำร่อง
เป็นเตาเผาทดลองก่อนจะขยายออกไปยังแหล่งอุตสาหกรรมอื่น
ๆ" ผอ. เริงชัยกล่าว
Rhodoferax Ferireducens
Anonymous
writes "Rhodoferax Ferireducens
เป็น Bacteria ชนิดหนึ่งที่อาศัยในโคลนใต้น้ำ
แตกต่างจาก Bacteria อื่น
คือจะแลกเปลี่ยนอิเล็กตรอนที่จับมาได้กับออกซิเจน
แต่ Ferireducens
จะแลกเปลี่ยนอิเล็กตรอนกับเกลือแร่
เช่นไอออนออกไซม์
และถึงแม้ว่าไอออนออกไซม์จะไม่ละลายน้ำ แต่
Ferireducens จะมีวิธี การผลักอิเล็กตรอนออกนอก
cell membran
ไปสู่บริเวณที่มีไอออนออกไซม์
ออกซิเจนส่วนมาก รับอิเล็กตรอนภายในเซลล์
และเป็นตัวการสำคัญในการส่งอิเล็กตรอนให้กับไอออนออกไซม์
เป็นวิธีที่ฉลาดมากที่จะหลอกจุลินทรีย์ให้ผ่านอิเล็กตรอนที่จับได้
สู่เกลือแร่ที่เราต้องการ
นำขั้วไฟฟ้าที่ผลิตจากกราไฟต์ที่ไม่ขัดผิว
จุ่มเชื้อ จุลินทรีย์ไปในถังเล็ก บรรจุนำเชื่อม
(สารละลายน้ำตาล)
ก็จะทำให้จุลินทรีย์ไปเกาะที่ขั้วไฟฟ้า อิเล็กตรอน
ก็จะส่งต่อไปที่ขั้วไฟฟ้าโดยตรงทำให้เกิดกระแสไฟฟ้า
Rhodoferax Ferireducens
จะส่งผ่านอิเล็กตรอนไปยังขั้วไฟฟ้า 80% Bacteria
อื่น จะส่งผ่านอิเล็กตรอนไปยังขั้วไฟฟ้า
50%พลังงานที่ได้นี้พอจ่ายให้กับหลอดไฟต้นคริสต์มาส
1หลอด
คิดดูนะเราอาจสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้จากจากแหล่งปฏิกูลแล้วอาจจะต่อเข้ากับแบตเตอร์รี่ของโลก
ทีนี้โลกเราอาจจะสว่างไปด้วยกระแสไฟที่มาจากสิ่งมีชีวิตเล็กๆแต่ไม่ธรรมดานะ
จาก Atom
CH-BI
รู้จักคลื่นยักษ์ ''สึนามิ''
"สึนามิ"(Tsunami)
หรือคลื่นยักษ์
เกิดจากการสมาสของคำในภาษาญี่ปุ่นระหว่างคำว่า
"สึ" (Tsu) ซึ่งแปลว่า ท่าเรือ
และคำว่า "นามิ" (Nami) แปลว่า
คลื่น รวมแล้วแปลได้ว่า
คลื่นที่เข้าสู่ฝั่งหรือท่าเรือ
ตรงกับความหมายในภาษาอังกฤษว่า Harbor
Wave เหตุที่เรียกว่า Harbor Wave
ก็เพราะเมื่อเคลื่อนตัวเข้าสู่ระดับน้ำตื้นใกล้ชายฝั่ง
ความเร็วของคลื่นจะลดลง
แต่พลังของคลื่นจะดันให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและก่อให้เกิดคลื่นสูงมหาศาล
ยิ่งหากคลื่นเข้าปะทะชายฝั่งที่มีรูปร่างคล้ายตัววี(V)
ความเร็วและความแรงของคลื่นจะยิ่งเพิ่มขึ้น
และส่งให้ยอดคลื่นมีความสูงมากขึ้น
จนสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อชีวิตและทรัพย์สินที่อยู่รอบชายฝั่ง (จากหนังสือพิมพ์มติชน
วันที่ 27 ธันวาคม 2547)
คลื่น "สึนามิ"
ต่างจากคลื่นตามปกติทั่วไปที่เราเห็นตามชายหาด(Tidal
Wave)
โดยคลื่นทั่วไปจะเกิดจากการขึ้น-ลงของกระแสน้ำ
บวกด้วยแรงลมที่พัดบนผิวน้ำ แต่คลื่นสึนามิ
ไม่เกี่ยวกับกระแสน้ำและไม่เกี่ยวกับสภาวะอากาศเลย
หากแต่เกิดจากแผ่นดินไหวใต้มหาสมุทร
หรือบริเวณใกล้ชายฝั่งทะเล เมื่อแผ่นดินเกิดรอยแยก
น้ำทะเลจะถูกดูดเข้าไประหว่างรอยแยกที่เกิดขึ้น
ทำให้เกิดภาวะน้ำลงอย่างรวดเร็ว
จากนั้นแรงอัดใต้เปลือกโลกจะดันน้ำทะเลขึ้นมา
กลายเป็นระลอกคลื่นใหญ่
คลื่นยักษ์ยังเกิดขึ้นได้อีกจากการที่ภูเขาไฟใต้มหาสมุทรเกิดระเบิด
การทดลองระเบิดปรมาณูในมหาสมุทร
หรือมีวัตถุขนาดใหญ่เช่นดาวเคราะห์น้อย
อุกกาบาตตกลงในมหาสมุทร
ก็ทำให้เกิดปฏิกิริยาในมหาสมุทร
จนทำให้เกิดคลื่นยักษ์ได้
แต่กรณีหลังมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย
"สึนามิ" มีความยาวของคลื่นถึงราว
80-200 กิโลเมตร
ทำให้เรือที่แล่นอยู่ในทะเลไม่รู้ว่าเกิดคลื่นยักษ์ขึ้น
แต่ละลูกจะทิ้งช่วงห่างกันมากกว่า 15 นาที
เคลื่อนที่ด้วยอัตราความเร็วเฉลี่ยประมาณ
700-1,000
กิโลเมตรต่อชั่วโมง
คลื่นยักษ์ชนิดนี้มักเกิดขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิก
เพราะเป็นแนวที่มีการเกิดแผ่นดินไหวและภูเขาไฟใต้มหาสมุทรมาก
อีกทั้งยังล้อมรอบด้วยร่องน้ำลึกก้นมหาสมุทรที่เกิดจากแผ่นดินโลกมุดตัว
จุดเกิดคลื่นยักษ์ในมหาสมุทรแปซิฟิกอยู่บริเวณร่องน้ำลึกก้นมหาสมุทรนอกชายฝั่งอลาสกา
หมู่เกาะคูริล ทวีปอเมริกาใต้
โดยเฉพาะแปซิฟิกตอนกลางและรัสเซีย ประมาณว่าร้อยละ
80 ของคลื่นยักษ์ที่เกิดทั้งหมดอยู่บริเวณ Pacific
Seismic Belt
ส่วนพื้นที่ที่เกิดคลื่นยักษ์บ่อยครั้งคือหมู่เกาะฮาวาย(เกิดขึ้นทุกปี)
จุดอื่นที่เกิดความเสี่ยงจากสึนามิ
ก็อย่างเช่นหลายรัฐในสหรัฐอเมริกา ได้แก่
แคลิฟอร์เนีย โอเรกอน
วอชิงตัน
คลื่นยักษ์มีแรงปะทะสูงและก่อให้เกิดความเสียหายต่อบ้านเรือน
ชีวิต และทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก
เหตุการณ์ความเสียหายที่เกิดจากคลื่นยักษ์ครั้งร้ายแรง
เช่นเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.2537
แผ่นดินไหวที่เกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย วัดได้
7.2-7.8 ริกเตอร์ ทำให้เกิดคลื่นยักษ์ขนาดใหญ่
มีผู้เสียชีวิตกว่า 200 คน หรือเมื่อเดือนกรกฎาคม
พ.ศ.2541 เกิดแผ่นดินไหววัดได้ 7.1 ริกเตอร์
ที่ปาปัวนิวกินี
จากนั้นได้เกิดคลื่นยักษ์ตามมาจนมีผู้เสียชีวิตกว่า
2,000
คน
เพื่อป้องกันความเสียหายจากคลื่นยักษ์
จึงมีการตั้งศูนย์เตือนภัยคลื่นยักษ์ขึ้นคือ
ศูนย์เตือนภัยสึนามิอลาสกา(ATWC)
ตั้งอยู่ที่อลาสก้า รับผิดชอบพื้นที่อลาสก้า
บริติช โคลัมเบีย วอชิงตัน โอเรกอน
และแคลิฟอร์เนีย
และศูนย์เตือนภัยซูนามิภาคพื้นแปซิฟิก
รับผิดชอบพื้นที่ฮาวายและแปซิฟิก
สำหรับกรณีของประเทศไทยนั้น
นายสมิทธ ธรรมสโรช
อดีตรองปลัดกระทรวงคมนาคม
ได้เคยกล่าวเอาไว้เกี่ยวกับแนวโน้มที่ซูนามิจะเกิดในประเทศไทยไว้เมื่อปลายเดือนสิงหาคม
2541 หลังจากเกิดเหตุการณ์ซูนามิในปาปัวนิวกินีว่า
จากการวิเคราะห์เบื้องต้น(ของนักวิชาการด้านแผ่นดินไหว)
ซูนามิอาจเกิดขึ้นในทะเลอันดามันตอนบนและมีผลกระทบต่อชายฝั่งทะเลทิศตะวันตกของไทย
โดยอาจเกิดขึ้นได้ในจุดที่เคยเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่มาแล้ว
2-3 จุด ในทะเลอันดามัน
ทั้งนี้ในอดีตมีประวัติการเกิดแผ่นดินไหวทิ้งระยะห่างหลายสิบปี
คล้ายคลึงกับการเกิดแผ่นดินไหวในประเทศปาปัวนิวกินี
นอกจากนี้
จากการวิเคราะห์เพิ่มเติมยังพบว่ามีรอยเลื่อนขนาดใหญ่คือรอยเลื่อนระนองและรอยเลื่อนคลองมะรุย
ซึ่งเป็นรอยเลื่อนที่พาดผ่านแผ่นดินและเทือกเขาตะนาวศรีลงไปในทะเลอันดามันทางทิศตะวันตกของชายฝั่งทะเลไทย
ซึ่งแนวรอยเลื่อนที่อยู่ในทะเลมีระยะใกล้กับฝั่งทะเลไทยเป็นอย่างมาก
ถ้ามีการเกิดแผ่นดินไหวในรอยเลื่อนใหญ่สองรอยเลื่อนนี้มีขนาดรุนแรงเกิน
6.2 ริกเตอร์
ก็จะทำให้เกิดคลื่นสึนามิขนาดใหญ่พัดเข้าหาชายฝั่งทะเลทางทิศตะวันตกของไทยได้
ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงได้
ปริศนามือระเบิดพลีชีพ

มือระเบิดพลีชีพที่สร้างความสะเทือนขวัญอยู่ในหลายภูมิภาคทั่วโลกเวลานี้
มักถูกมองว่าเป็นกลุ่มคนที่สติไม่ดี คลั่งศาสนา หรือไม่ก็ยากจนข้นแค้น
ทว่าผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในนิตยสาร New
Scientist เปิดเผยว่า
ความเข้าใจข้างต้นห่างไกลจากความเป็นจริง
นิตยสารวิทยาศาสตร์รายสัปดาห์ของอังกฤษเล่มนี้รวบรวมผลงานของผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่ศึกษามือระเบิดพลีชีพ
พบว่าคนเหล่านั้นส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นผู้เคร่งศาสนา
หลายคนเกิดในตระกูลร่ำรวย มีการศึกษาดี
และเป็นผู้มีสติในการเลือกทางเดินชีวิต
ดังเช่นผลการศึกษานักโจมตีพลีชีพกลุ่มฮามาสและปาเลสไตน์ระหว่างทศวรรษ
๑๙๘๐ ถึงปี ๒๐๐๓ โดย เคลาด์
เบอร์เรบี
นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน พบว่า
เพียง ๑๓
เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่มาจากครอบครัวยากจน
ขณะที่กว่าครึ่งเป็นผู้มีอนาคตทางการศึกษา
ส่วน
อาเรียล เมอร์รารี
นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเทลอาวีฟ
ประเทศอิสราเอล
ได้ทำการศึกษาภูมิหลังของมือระเบิดพลีชีพทุกคนในตะวันออกกลาง
นับแต่ปี ๑๙๘๓
เขาพบว่าบุคคลเหล่านี้ไม่มีผู้ใดมีปัจจัยเสี่ยงต่อการกระทำรุนแรง
ไม่มีใครเป็นผู้มีปัญหาทางอารมณ์ เป็น
โรคจิตเภท
(schizophrenia)
มีประวัติถูกทำร้ายในวัยเด็ก
หรือเคยพยายามฆ่าตัวตายแต่อย่างใด
ขณะที่
อียาด อีล
ซอร์ราจ
ประธานองค์กรสุขภาพจิตแห่งชุมชนกาซา
ได้ศึกษากลุ่มผู้พลีชีพชาวปาเลสไตน์
และพบว่าแทบทุกคนได้รับประสบการณ์เจ็บปวดฝังใจในวัยเด็ก
ส่วนใหญ่เคยเห็นพ่อของตนถูกทหารอิสราเอลทำร้ายหรือหยามเหยียดศักดิ์ศรี
นิตยสาร
New Scientist ระบุว่า
ปัจจัยสำคัญอีกประการที่ให้กำเนิดมือระเบิดพลีชีพก็คือ
บุคคลเหล่านี้ถูกชักจูงจากองค์กรที่มีการจัดตั้งอย่างดี
ซึ่งทำการปลูกฝังแนวทางการต่อสู้
และช่วยสรรเสริญภารกิจของเหล่าผู้พลีชีพต่อชุมชนของพวกเขา
นิตยสาร New Scientist
ยังเตือนว่า
"มันหมายความว่า
ในสถานการณ์ที่เหมาะสม ใคร ๆ
ก็สามารถเป็นมือระเบิดพลีชีพได้"
มาตรฐานแห่งชาติด้านการสั่นสะเทือน

ชุดเครื่องมือมาตรฐานการสั่นสะเทือนระดับปฐมภูมิ เป็นเครื่องมือวัดค่า
sensitivity ของ?หัววัดการสั่นสะเทือนมาตรฐาน โดยใช้เทคนิคของ laser
interferometry มีพิสัยการวัด 50 Hz ถึง 5000 Hz
การทำสบู่ใส

สบู่ใสเป็นสบู่ที่มีผู้สนใจมาก
เนื่องด้วยความสวยงามดูแปลกตาและการทำก็สามารถพลิกแพลงรูปแบบต่างๆได้
บางแบบก็ใส่ดอกไม้หรือตุ๊กตาน่ารักๆไว้ภายในสบู่ บางแบบนำทองคำเปลว
ใส่ไว้ให้เห็นทำให้ดูมีราคาขึ้นมาก
แต่ต้นทุนก็เพิ่มขึ้นมากด้วยตามวัตถุดิบที่เราใช้
มีบางท่านทำรูปแบบออกมามากหลายแบบ ทำหีบห่อดี จัดหน้าร้านดี
สามารถขายสบู่ได้ราคาก็เป็นแนวความคิดที่ดีทีเดียว
สินค้าตัวนี้ทำไม่ยาก ดังนั้นใครๆก็อาจจะทำได้ครับ
จุดขายของสบู่จึงน่าจะเป็นที่รูปแบบที่ไม่เหมือนใคร งานประณีต
ดูทันสมัยมากกว่า เรามาเริ่มกันดีกว่าครับ...
เครื่องมือ |
|
1 |
มีดคมๆสำหรับตัดสบู่ออกเป็นชิ้นเล็กๆ |
2 |
ตาชั่งที่มีความเที่ยงตรง |
3 |
หม้อเหล็กหรือหม้อเคลือบ 2 ใบ
ซ้อนกันสองชั้น ชั้นนอกใส่น้ำส่วนชั้นในใส่เนื้อสบู่
ในรูปใช้แก้วทนไฟ |
4 |
ถ้วยตวง |
5 |
พายไม้ ใช้คนส่วนผสม |
6 |
เทอร์โมมิเตอร์ 100 องศาเซนติเกรด
ขึ้นไป |
7 |
กระดาษหนังสือพิมพ์หรือกระดาษที่ไม่ใช้แล้วใช้ปูโต๊ะกันเปื้อน |
8 |
ดรอปเปอร์สำหรับใช้หยดสี |
9 |
แบบพิมพ์ตามต้องการ |
วัตถุดิบ |
|
1 |
glycerin soap bar
หรือเนื้อสบู่ใส |
2 |
สีและกลิ่นตามต้องการ |
การทำสบู่ใส
เรามาดูวิธีการทำเป็นขั้นๆจากภาพซ้ายไปขวาครับ
เทคโนโลยีอวกาศ
การออกไปนอกโลกและความหมายของอวกาศ จรวด ดาวเทียม ยานอวกาศ
สถานีอวกาศ
อวกาศ
คือที่ว่างนอกโลก นอกดวงดาว ดังนั้นจึงมีอวกาศระหว่างโลกกับดวงจันทร์
ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ ระหว่างดาวฤกษ์และระหว่างเมืองของดาวฤกษ์
จรวด เป็นเครื่องยนต์พลังสูงที่สามารถเพิ่มความเร็วจนสามารถส่งดาวเทียมหรือยานอวกาศออกไปโคจร
รอบโลก ได้ ถ้าความเร็วของจรวดไม่สูงมากพอหัวจรวดจะตกกลับมายังผิวโลกคล้าย ๆ
การเคลื่อนที่ของ ลูกกระสุนปืน
ดาวเทียม หมายถึงวัตถุที่มนุษย์ส่งขึ้นไปโคจรรอบโลก แปลมาจากคำว่า Satellite
ซึ่งปกติแปลว่าดาวบริวาร ดาวเทียมดวงแรกที่ขึ้นไปโคจรรอบโลกคือสปุตนิค 1
ซึ่งเป็นดาวเทียมของประเทศสหภาพโซเวียตรัสเซีย ส่งขึ้นไปเมื่อ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2500
และดาวเทียมดวงแรกของสหรัฐอเมริกาคือเอ็กพลอเรอร์ 1 ซึ่งขึ้นไปเมื่อวันที่ 31
มกราคม พ.ศ. 2501 ปัจจุบันมีดาวเทียมหลายประเภทและทำหน้าที่ต่าง ๆ กัน เช่น
ดาวเทียมที่ ใช้ประโยชน์ ในการติดต่อสื่อสารเรียกว่า ดาวเทียมสื่อสาร
ดาวเทียมที่ใช้สำรวจทรัพยากรโลกเรียกว่า ดาวเทียมสำรวจพิภพ
ดาวเทียมที่ถ่ายภาพและส่งข้อมูลเกี่ยวกับเมฆ ตลอดลมฟ้าอากาศ เรียกว่า
ดาวเทียมอุตุนิยมวิทยา นอกจากนี้ยังมี ดาวเทียมดาราศาสตร์
ที่ใช้สำรวจศึกษาดวงดาวอีกมากมาย
ยานอวกาศ หมายถึงยานที่ออกไปนอกโลก โดยมีมนุษย์ขึ้นไปด้วยพร้อมเครื่องมือและอุปกรณ์
สำหรับการสำรวจหรือไม่มีมนุษย์อวกาศขึ้นไป
แต่มีอุปกรณ์และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น จึงอาจแยกยานอวกาศออกเป็น 2
พวกคือ ยานอวกาศที่มีมนุษย์ขับคุม และยานอวกาศที่ไม่มีมนุษย์ขับคุม
ยานอวกาศของสหรัฐอเมริกาที่มีมนุษย์อวกาศขึ้นไปด้วยได้แก่
ยานอวกาศเมอร์คิวรี ส่งมนุษย์อวกาศขึ้นไปครั้งละ 1 คน
ยานอวกาศเจมินีส่งมนุษย์อวกาศขึ้นไปครั้งละ 2 คน
ยานอวกาศอะพอลโลส่งมนุษย์อวกาศขึ้นไปคราวละ 3 คน ยานอวกาศอะพอลโล 11
เป็นยานอวกาศที่นำมนุษย์ไปลงบนดวงจันทร์เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ.
2512 ยานขนส่งอวกาศสามารถนำมนุษย์อวกาศหลายคนและสัมภาระต่าง ๆ
รวมทั้งดาวเทียมขึ้นสู่อวกาศ
แล้วนำนักบินอวกาศกลับสู่พื้นโลกได้คล้ายเครื่องร่อน
ยานอวกาศที่ไม่มีมนุษย์อวกาศขับคุมได้แก่ยานอวกาศที่ส่งไปสำรวจดาวดวงอื่น
เช่น ยานเซอร์เวเยอร์ ซึ่งไปลงดวงจันทร์ ยานไวกิงไปลงดาวอังคาร
ยานกาลิเลโอไปสำรวจดาวพฤหัสบดี ยานแมกเจลแลนสำรวจดาวศุกร์ ฯลฯ
สถานีอวกาศ หมายถึงสถานีหรือสิ่งก่อสร้างซึ่งเคลื่อนรอบโลก เช่น
สถานีอวกาศเมียร์ของรัสเซีย สถานีอวกาศฟรีดอมของสหรัฐอเมริกา
โดยความร่วมมือขององค์การอวกาศยุโรป ญี่ปุ่น แคนาดาและรัสเซีย
การออกไปนอกโลก
ความเร็วต่ำสุดที่จะพาดาวเทียมหรือยานอวกาศออกไปนอกโลกได้ต้องไม่ต่ำกว่า 7.91
กิโลเมตรต่อวินาที หรือ 28,476 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ถ้าออกไปเร็วมากกว่านี้ยานจะออกไปไกลจากผิวโลกมากขึ้น เช่น ถ้าไปเร็วถึง 38,880
กิโลเมตรต่อชั่วโมงจะไปอยู่สูงถึง 35,880 กิโลเมตร และเคลื่อนรอบโลกรอบละ 24
ชั่วโมง เร็วเท่ากับการหมุนรอบตัวเองของโลก
ดาวเทียมที่อยู่ในวงจรเช่นนี้จะอยู่ค้างฟ้า ณ ที่เดิมตลอด 24 ชั่วโมง
ดาวเทียมสื่อสาร
ดาวเทียมสื่อสารเป็นดาวเทียมที่ใช้ประโยชน์ในการสื่อสารภายในและระหว่างประเทศ
โดยดาวเทียมของประเทศใดประเทศหนึ่ง มักอยู่สูงในระดับประมาณ 36,000
กิโลเมตรเหนือประเทศนั้น ๆ ดาวเทียมสื่อสารจึงเป็นดาวเทียมค้างฟ้า
ที่อยู่คงที่บนฟ้าของประเทศใดประเทศหนึ่งตลอดเวลา
นับว่าสะดวกต่อการรับสัญญาณจากดาวเทียมเป็นอย่างยิ่ง
ปัจจุบันมีดาวเทียมสื่อสารระหว่างประเทศของบริษัทอินเทลแซท
ซึ่งส่งดาวเทียมอิสเทลแซทขึ้นไปอยู่เหนือมหาสมุทรอินเดียดวงหนึ่ง
เหนือมหาสมุทรแปซิฟิคดวงหนึ่งและเหนือมหาสมุทรแอตแลนติคอีกดวงหนึ่ง
ทำให้สามารถสื่อสารติดต่อระหว่างประเทศได้ทั่วโลกตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
ดาวเทียมสำรวจพิภพ
สถานีรับสัญญาณจากดาวเทียม
ดาวเทียมสำรวจพิภพเป็นดาวเทียมที่เคลื่อนรอบโลกอยู่ในระดับต่ำประมาณ 500
กิโลเมตร และมีความสามารถในการแยกภาพสูง ดาวเทียมสำรวจพิภพ สำรวจทรัพยากรของโลก
เช่น ป่าไม้ ทรัพยากรธรณี ทรัพยากรในทะเล
และเนื่องจากเป็นดาวเทียมที่อยู่ในระดับต่ำ จึงไม่ใช่ดาวเทียมค้างฟ้า
แต่จะเปลี่ยนตำแหน่งโดยเขยื้อนไปทางทิศตะวันตกของเส้นทางเดิม
และกลับมาผ่านเส้นทางเดิมในเวลาหลายวัน เช่น ดาวเทียม อีอาร์เอส
ของญี่ปุ่น
สัญญาณจากดาวเทียมขณะผ่านประเทศไทยเป็นประโยชน์สำหรับประเทศไทยโดยตรง
ดังนั้นเราจึงมีสถานีรับสัญญาณจากดาวเทียมซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกองสำรวจทรัพยากรธรรมชาติด้วยดาวเทียม
สถานีรับสัญญาณจากดาวเทียมตั้งอยู่ที่ ถนนฉลองกรุง เขตลาดกระบัง
กรุงเทพมหานคร โทร. 3269151-2
หลายประเทศมีดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศของตนเอง เช่น
ประเทศ |
ชื่อดาวเทียมสื่อสาร |
ไทย
อินโดนีเซีย
ฮ่องกง
แคนาดา
ออสเตรเลีย
สหรัฐอเมริกา
ญี่ปุ่น
ฝรั่งเศส |
ไทยคม
ปาลาปา
เอเซียแซท
แอนิค
ออสแซท
เวสตาร์
ซากุระ
ยูริ |
ดาวเทียมไทยคมเป็นดาวเทียมสื่อสารดวงแรกของไทยซึ่งออกแบบโดยบริษัทฮิวจ์แอร์คราฟท์
สหรัฐอเมริกา ส่งขึ้นสู่อวกาศโดยอาศัยจรวดอารีอานขององค์การอวกาศยุโรปที่เฟรนกิอานา
ดาวเทียมไทยคมจึงขึ้นไปอยู่เหนือละจิจูด 7องศาเหนือและลองจิจูด 78.5
องศาตะวันออก
ประโยชน์ของดาวเทียมไทยคมคือช่วยการสื่อสารภายในประเทศในเรื่องโทรศัพท์
การถ่ายทอดโทรทัศน์ โทรสาร โทรพิมพ์ โดยไม่ต้องเช่าดาวเทียมปาลาปาของอินโดนีเซีย
สถานีภาคพื้นดินส่งสัญญาณขึ้นสู่ดาวเทียมอยู่ที่ ถนนรัตนาธิเบศร์ อ.เมือง
จ.นนทบุรี
ทำไมดวงจันทร์ถึงทำให้เกิดน้ำขึ้น-น้ำลงบนโลก?

ดวงจันทร์และโลกดึงดูดซึ่งกันและกัน
และจะอยู่ใกล้กันถ้าโลกและดวงจันทร์ไม่ได้หมุนรอบจุดศูนย์กลางของตัวมันเอง
การหมุนจะผลักโลกและดวงจันทร์ออกจากกันและป้องกันรวมตัวกัน
แรงดึงของดวงจันทร์จะมีความแรงมากบนพื้นผิวโลกบริเวณที่หันหน้าไปหามัน
และจะอ่อนลงในบริเวณที่อยู่ตรงข้ามกับมัน
ความแตกต่างนี้เองทำให้เกิดแรงดึงพิเศษที่ดึงดวงจันทร์ในบริเวณที่อยู่ใกล้กับดวงจันทร์และผลักดันดวงจันทร์ออกไปด้วยแรงที่เท่ากันในด้านที่ไกลที่สุด
(ด้านตรงกันข้าม)
น้ำจะสูงขึ้นบริเวณที่ใกล้และไกลจากดวงจันทร์
แต่น้ำจะลดลงในบริเวณระหว่างจุดสองจุดนี้
เพราะฉะนั้น
น้ำขึ้นจึงเกิดขึ้นทั้งด้านที่อยู่ใกล้และไกลจากดวงจันทร์ในเวลาเดียวกัน
และเมื่อโลกหมุนก็จะทำให้พื้นที่หนึ่งเกิดน้ำขึ้น 2
ครั้งต่อวัน
ดวงอาทิตย์ก็สร้างน้ำขึ้น-น้ำลงด้วยวิธีเดียวกัน
แต่ดวงจันทร์อยู่ใกล้โลกมากกว่าจึงทำให้มีความสำคัญมากกว่าดวงอาทิตย์ถึง
2 เท่า

เนื่องจากโลกมีรูปร่างคล้ายกับลูกบอล
แรงดึงที่เกิดขึ้นบริเวณพื้นผิวจึงมีความหลากหลายในเรื่องความแรงจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง
และนี้ก็ทำให้เกิดความสูงของน้ำขึ้นที่แตกต่างกันในแต่ละที่
ความหลากหลายของน้ำขึ้น-น้ำลงมีความซับซ้อนจากความจริงที่ว่า
การเอียงของโลกที่หันหน้าเข้าหาดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเดือนและปี
ความลึกของมหาสมุทรที่มีความแตกต่างกันมาก
และพื้นดินที่ถูกน้ำไหลเข้ามา ในบางพื้นที่
ปัจจัยต่างๆ
เหล่านี้ทำให้เกิดน้ำขึ้น-น้ำลงเพียงหนึ่งครั้งต่อวัน
และในพื้นที่อื่นๆ จะมีน้ำขึ้นที่สูงมาก
การทดลองเรื่องน้ำขึ้นน้ำลง

กด Play
ตอบคำถามต่อไปนี้
- น้ำขึ้นน้ำลงเกิดจากอะไร
- ช่วงใดที่น้ำขึ้นมากที่สุด
- High Tides คืออะไร และ Low
Tides คืออะไร
คลิกค่ะ
|