สรุป
ธรรมชาติย่อมมีสมดุลเสมอ การเพิ่มความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตจึงถูกกำจัดโดยธรรมชาติ เช่น การสูญพันธุ์ ตามธรรมชาติส่งมีชีวิตอาจมีการสูญพันธุ์ได้ตลอดเวลาที่โลกมีการเปลี่ยนแปลง อัตราการสูญพันธุ์จะมีน้อยกว่าอัตราการเกิดสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตบนโลกไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว ต้องพึ่งพาอาศัยกัน การสูญพันธุ์ในอดีต เกิดจากกระบวนการธรรมชาติบางอย่าง เช่น ภัยธรรมชาติ ผู้ล่า โรคภัยไข้เจ็บ ความแออัด การแก่งแย่ง แต่ในปัจจุบันสาเหตุที่สำคัญเกิดจากกิจกรรมมนุษย์ คือ หนึ่ง การสูญเสียที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติจากการตัดต้นไม้ทำลายป่า สอง สภาวะดินหมดสภาพ ความแห้งแล้ง สาม เทคโนโลยีการสร้างเขื่อนทำให้สูญเสียพืช และสัตว์เป็นจำนวนมาก สี่ การล่าจากมนุษย์และการถูกคุกคามจากสิ่งมีชีวิตจากต่างแดนที่ขยายพันธุ์มากจนส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในท้องถิ่น ในระบบนิเวศที่สมดุลการสูญเสียสิ่งมีชีวิตชนิดใดชนิดหนึ่งอาจมีผลถึงสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ อย่างต่อเองเป็นลูกโซ่มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่กรณี นักชีววิทยาได้ประมาณการณ์ว่าการสูญพันธุ์ของพืชชนิดหนึ่งสามารถส่งผลกระทบให้มีการสูญเสียแมลงและสัตว์อื่นในระบบนิเวศเดียวกันได้หลายชนิด อาจถึง 30 ชนิดก็ได้ แต่ผลอาจจะไม่ปรากฎชัดในทันทีทันใดกว่าจะปรากฎชัด บางทีก็สายไปแล้วเกินกำลังที่จะแก้ไข จากการรวบรวมข้อมูลจาก World Cinservation Union (WCN) ได้ทำการรวบรวมรายชื่อของสิ่งมีชีวิตที่กำลังถูกคุกคาม และอยู่ในสถานะที่ล่อแหลมอย่างยิ่งต่อการสูญพันธุ์อยู่ในบัญชีรายชื่อที่เรียกว่า บัญชีแดง "Red List" จากข้อมูลล่าสุดจำนวนสัตว์ที่ตกอยู่ในสภาวะอันตรายต่อการสูญพันธุ์ได้เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 5,435 ชนิดในปัจจุบัน เราลองมาประเมินอัตราการสูญพันธุ์ดู อดีต อัตราการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นตามสภาพการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติโดยเฉลี่ยปีละประมาณ 1 ชนิด (สปีชี) นั่นหมายถึงว่า ไม่ใช่ว่าในธรรมชาติจะไม่สูญพันธุ์เลย ปัจจุบัน อัตราการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตตามสภาพการเปลี่ยนเเปลงของสิ่งแวดล้อมยุคใหม่เกิดขึ้นในอัตราที่รวดเร็วหลายพันเท่าของในอดีต การสูญพันธุ์อย่างรวดเร็วเกิดขึ้นในพวกที่อาศัยอยู่ในป่าชื้นเขตร้อนประเมินอัตราสูญพันธุ์ประมาณวันละ 1 ชนิดในช่วงปี ค.ศ. 1970 และเพิ่มเป็นชั่วโมงละ 1 ชนิด ในช่วงปีค.ศ. 1980 หรืออีก 10 ปีถัดมา คือ เพิ่มเป็น 24 เท่าในช่วงระยะเพียง 10 ปีเท่านั้นเอง ทั้งนี้มีการทำลายป่าไม้ในเขตร้อนอย่างมากมายในช่วง 20 ปีกว่าที่ผ่านมา จะเป็นเพราะการยังชีพในการทำเกษตร หรือเพื่อธุรกิจ หรือวิถีการดำรงชีวิตที่ต้องการความสะดวกสบายมากขึ้นก็ตาม หากการสูญพันธุ์ยังอยู่ในอัตรานี้เชื่อว่าภายในสิ้นศตวรรษที่ 20 จะมีการสูญพันธุ์ไปไม่น้อยกว่าร้อยละ 20-50 ธรรมชาติไม่เคยทำร้ายมนุษย์ มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่ทำร้ายธรรมชาติ โดยคิดว่าตัวเองมีความฉลาดล้ำเลิศสามารถอยู่เหนือธรรมชาติได้ชีวิตบนโลกอื่นมีหรือไม่ ชีวิตที่วิวัฒนาการบนโลกนั้นสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างธรรมชาติของดาวเคราะห์ดวงที่สามนี้กับประวัติศาสตร์ของมัน ถ้าโลกอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มากกว่านี้ โลกจะเย็นลง ปฏิกริยาทางเคมีจะลดลงอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น น้ำจะแข็งตัว สารประกอบคาร์บอนส่วนมากจะแตกหัก แต่ถ้าโลกอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มาขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ โลกจะร้อนขึ้น โครงสร้างทางเคมีของสารจะคงที่น้อยลง สารประกอบคาร์บอนไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่จะคงที่แสดงให้เห็นว่าวิวัฒนาการของพื้นฐานชีวิต สารประกอบคาร์บอนบนโลกอยู่ได้ในอุณหภูมิช่วงแคบ และช่วงอุณหภูมินี้มีความสัมพันธ์โดยตรงกับระยะทางระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ ขนาดของโลกก็มีบทบาทที่สำคัญเกี่ยวกับบรรยากาศ ถ้าขนาดของโลกเล็กลงกว่านี้ โลกจะมีแรงดึงดูดไม่เพียงพอที่จะดึงดูดบรรยากาศไว้แต่ถ้าโลกขนาดใหญ่กว่านี้ โลกจะมีแรงดึงดูดให้อากาศในบรรยากาศมีความแน่นจนกระทั่งแสงแดดถูกดูดซึมไว้ก่อนที่จะลงมาถึงพื้นผิวโลก มีชีวิตในโลกอื่นหรือไม่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ในจักรวาลมีดาวเคราะหืมากมายเยอะแยะที่มีลักษณะทางกายภาพเหมือนโลกของเรา จักรวาลประกอบด้วยดวงดาวจำนวน 1020 ดวง ที่มีลักษณะทางกายภาพเหมือนดวงอาทิตย์ อย่างน้อยร้อยละ 10 ของดาวเหล่านี้ เชื่อว่าอยู่ในระบบดาวเคราะห์ ถ้าเพียงแต่ 1 ใน 10,000ของดาวเคราะห์ที่มีขนาดเหมาะสมและระยะทางที่ถูกต้องจากดวงอาทิตย์โดยเลียนแบบเงื่อนไขของกำเนิดชีวิตบนโลกเรา การเกชีวิตจะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกถึง 1015 ครั้ง ถ้าเงื่อนไขนี้เกิดขึ้นได้จริง โลกเราคงจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป ในปี ค.ศ. 1924 อเล็คซานเดอร์ ไอวาโนวิช โอปาริน นักชีวเคมีชาวรัสเซียเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรกในช่วงค.ศ.1920-1930 ที่ยืนยันตามแนววิทยาศาสตร์ว่า วิวัฒนาการทางเคมีนั้นมีมาก่อนการวิวัฒนาการทางชีววิทยา ซึ่งฐานของการอธิบายกำเนิดชีวิตเริ่มแรกในชีวาลัย และยอมรับกันอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากเราไม่สามารถค้นหาร่องรอยของวิวัฒนาการทางเคมีบนโลกในยุคแรกๆได้ เราจึงพยายามค้นหาหลักฐานจากวัตถุนอกบรรยากาศโลก ซึ่งอาจจะมาจากดวงจันทร์ หรือเป็นวัตถุอื่นที่หล่นลงมาจากฟากฟ้า การวิเคราะห์ก้อนหอนจากดวงจันทร์ที่ยานอพอลโลนำกลับมา มีหลักฐานของวิวัฒนาการทางเคมีให้เห็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นการวิเคราะห์เกี่ยวกับดวงจันทร์จึงยังไม่มีข้อสรุป การศึกษาเกี่ยวกับวัตถุที่ตกมาจากฟากฟ้าขยายวงกว้างมากขึ้น จากการตรวจวัตถุจากท้องฟ้าที่ตกลงมาที่เมอร์คิสันในประเทศออสเตรเลียเมื่อปีค.ศ. 1969 เป็นหลักฐานแรกที่แสดงให้เห็นถึงการะมีกรดอมิโนอยู่นอกโลกในระบบสุริยะยุคแรกๆ ในการศึกษาเกี่ยวกับจักรวาลได้ตรวจพบโมเลกุลของสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก รวมทั้งสารที่มีมาก่อนสิ่งมีชีวิต ปฏิกริยาทางเคมีเกี่ยวกับชีวิตดูเหมือนว่าจะมีปรากฎอยู่ทั่วไปในจักรวาล นั่นคือ แสดงว่าการสร้างสิ่งมีชีวิตมีอยู่ทั่วไปในทุกๆที่ของระบบจักรวาล มีสิ่งมีชีวิตอยู่นอกโลกหรือไม่ ดาราศาสตร์สมัยใหม่แสดงให้เห็นแล้วว่าดวงอาทิตย์ของเราเป็นเพียงหนึ่งในบรรดาดวงดาวนับพันล้านดวงในจักรวาล ดังนั้นดาวเคราะห์จึงมีอยู่เป็นจำนวนมากมายในจักรวาลด้วย เมื่อเดือนกรกฎาคมปี ค.ศ.1976 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 200 ปี ของอเมริกา ยานอวกาศ 2 ลำ คือ ไวกิ้ง 1(Viking1) และไวกิ้ง2(Viking2) ถูกส่งออกไปนอกโลก ยานทั้งสองนี้บรรทุกอุปกรณ์จำนวนหนึ่งลงไปด้วยหุ่นยนต์เหล่านี้สามารถทำการทดลองเพื่อตรวจสอบสิ่งมีชีวิตได้ แม้ว่าการทดลองทางชีววิทยาจะให้ผลที่ยังไม่แน่นอน แต่การทดลองทางเคมีได้ชี้ให้เห้นอย่างชัดเจนว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร และเนื่องจากการค้นหาสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่าชีวิตมีพื้นฐานอยู่บนวัตถุที่มาจากสิ่งมีชีวิตจึงสรุปผลการทดลองจากยานไวกิ้งได้ว่า ไม่มีหลักฐานของสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร การสื่อสารทางวิทยุเป็นเครื่องมืออีกอย่างหนึ่งที่ใช้ค้นหาสิ่งมีชีวิตในจักรวาล โครงการ SETI (Search for Extra Terrestrial Intelligence) ขององค์กรนาซ่า ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศมุ่งเน้นไปที่เรื่องความเป็นไปได้ของ"galactic ravesdropping" (การลอบสังเกตการณ์ในกาแลกซี่) บางทีเพื่อนบ้านของเราในจักรวาลอาจจะสอดส่องดูความก้าวหน้าของโลกเรามาตั้งแต่ยุคของ Marconi แล้วก็ได้ และในปัจจุบันอาจจะกำลังปรับให้เข้ากับคลื่นวิทยุของโลกอยู่ การเดินทางผจญภัยอันยาวนานของเราเริ่มด้วยการศึกษากำเนิดของชีวิตบนโลก และเป็นแรงบันดาลใจให้เราค้นหาเหมือนกับนักผจญภัยว่า "อะไรอยู่เหนือดวงอาทิตย์" | |||
หน้าที่
| |||
|
วิวัฒนาการ 6 บท |
|
บทที่ 1 1/6 กำเนิดและวิวัฒนาการของธรรมชาติ กำเนิดจักรวาล
ความคิดของนาย Friedman นักคณิตศาสตร์ชาวรัสเซีย
ทฤษฎี Big Bang กำเนิดสุริยะจักรวาล
กำเนิดโลก การแบ่งชั้นของโลก ร่องลึกในมหาสมุทร จำนวน
57 แ่ผ่น
คลิกค่ะ
|
|
บทที่ 2 2/6 กำเนิดสิ่งมีชีวิตชนิดแรก โมเลกุลของสารประกอบอินทรีย์
ชีวิตเกิดจากสิ่งไม่มีชีวิต การทดลองของเรดิ และหลุยส์ปาสเตอร์
แนวความคิดของอริสโตเติล Polymerization
เคลวิน นักชีวเคมีขาวเยอรมัน จำนวน
56 แ่ผ่น
คลิกค่ะ
|
|
บทที่ 3 3/6 Evolution เมื่อ 3900 ล้านปีก่อน
วิวัฒนาการคืออะไร นักอนุกรมวิธาน ทฤษฎีวิวัฒนาการ
นายลามาร์ค นาย ชาร์ล ดาร์วิน
กลไกการคัดเลือกโดยธรรมชาติ หมู่เกาะกาลาปากอส นายมัลทัส
จำนวน 40 แ่ผ่น
คลิกค่ะ
|
|
บทที่ 4 4/6 กลไกการวิวัฒนาการ สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว
การแปรผันทางพันธุกรรม เมนาลิซึมของผีเสื้อกลางคืน
การกระจายตัวของประชากรผีเสื้อ ผู้ถูกล่าและผู้ล่า จำนวน
28 แ่ผ่น
คลิกค่ะ
|
|
บทที่ 5 5/6 หลักฐานทางวิวัฒนาการ ความจริงที่เกิดขึ้นในอดีต
ซากดึกดำบรรพ์ นกกลุ่มที่บินไม่ได้ โครงสร้างของสิ่งมีชีวิต
สัตว์มีกระดูกสันหลัง ลำดับเบสบนสายดีเอ็นเอ การคัดเลือกพันธุ์
และความรู้ทางพันธุ์ศาสตร์ จำนวน 39 แ่ผ่น
คลิกค่ะ
|
|
บทที่ 6 6/6 หลักฐานทางวิวัฒนาการ ข้อแตกต่างระหว่างมนุษย์และลิง
สายวิวัฒนาการของมนุษย์ มนุษย์วานร สปีชีส์สุดท้าย ค้นพบฟอสซิลของมนุษย์
การแบ่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ จำนวน 37 แ่ผ่น
คลิกค่ะ
|
![]() |
![]() |
![]() |
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ฟิสิกส์ 1 | หนังสือฟิสิกส์ 1 ภาคกลศาสตร์ | หนังสือฟิสิกส์ 1 ภาค ของไหล ความร้อนและคลื่น |