การเกิดของเมฆ
โลกยุคแรกเริ่มกำเนิดจากการถูกชน โลกค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นจากแรงชนและการหลอมรวมของเทหวัตถุยิ่งชนมากยิ่งโตมาก แรงดึงดูดยิ่งมาก ค่อย ๆ หลอมเข้ามารวมกันขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ พื้นผิวโลกเริ่มเปลี่ยนแปลง การชนหนัก ๆ เกิดพลังงานความร้อนสูงมากทำให้ผิวโลกเริ่มหลอมละลายกลายเป็นหินหนืด จุดหลอมเหลวของหินหนืดอยู่ที่อุณหภูมิ 1,300 องศาเซลเซียส กว่าจะเย็นลงได้ต้องใช้เวลานาน ดังนั้นโลกเราจึงเกิดเป็นดาวเย็นเกิดเป็นหลุมมหาสมุทรใหญ่จากแรงปะทะ เป็นมหาสมุทรหินหนืด นอกจากนี้ดาวเคราะห์น้อยที่ลอยเคว้งคว้างไปมาก็ยังพุ่งชนโลกไม่หยุดหย่อน ไม่ใช่เป็นการชนเฉย ๆ แล้วเกิดหลุมบ่อ ดาวเคราะห์เหล่านี้ประกอบด้วยธาตุชนิดต่าง ๆ ซึ่งธาตุเหล่านี้หลอมละลายกลายเป็นธาตุที่เป็นองค์ประกอบของโลกในทุกวันนี้ เพื่อให้เข้าใจโลกเราจึงต้องอาศัยวัตถุดิบแร่ธาตุที่ปรากฏในปัจจุบันอธิบาย เวลาผ่านไปนาน ๆ เข้า ความถี่ของการชนค่อย ๆ ห่างลงปัจจุบันถึงแม้ว่ายังมีอุกาบาตอีกมากที่ยังล่องลอยอยู่ในเอกภาพ นานจึงจะร่วงลงมายังโลกสักครั้ง การวิเคราะห์ก้อนอุกาบาตทำให้เข้าใจการเกิดมหาสมุทรของโลกได้ เชื่อว่ามีน้ำอยู่ในระบบสุริยะเมื่อ 4,600 ล้านปีก่อน โดยนักวิทยาศาสตร์พบว่า ไอน้ำถูกเก็บไว้ในอุกาบาตเมื่อระบบสุริยะเย็นลง จากการทดลองเอาสะเก็ดดาวที่คงหลงเหลือพบอยู่บนพื้นโลกในปัจจุบันมาเผาด้วยอุณหภูมิสูง 800 องศาเซลเซียส ได้ไอน้ำออกมาภายใน 1 นาที กลั่นออกมาเป็นหยดน้ำได้ จึงอธิบายได้ว่า ขณะที่อุกาบาตชนโลก เกิดความร้อนขึ้น น้ำในสะเก็ดดาวจึงระเหยขึ้นไปในบรรยากาศของโลก เป็นเมฆลอยอยู่เบื้องบนปกคลุมโลกอยู่เบื้องบน หลายพันล้านปีก่อนดาวเคราะห์น้อยถูกโลกที่กำลังก่อตัวดึงดูดให้มาชน ความแรงของการชนทำให้ธาตุที่ประกอบอยู่ในเทหวัตถุนั้นแตกตัวออกมาเป็นธาตุต่าง ๆ หลายชนิด ส่วนที่เป็นธาตุเหล็กหนักกว่าจะจมลงยังใจกลางโลก นอกจากธาตุแล้วดาวเคราะห์เหล่านี้ยังมีน้ำอยู่ด้วย โดยปกติจะระเหยทันทีที่ชนโลก ไอน้ำที่ระเหยจะลอยขึ้นไปรวมกับก๊าซมีเทน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กลายเป็นเมฆ ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันโลก (ปรากฏการณ์นี้บนดาวเคราะห์ดวงอื่นไม่มี) ดาวศุกร์ไม่มีเมฆช่วยเป็นเกราะป้องกันจึงเสื่อมสภาพไปเรื่อย ๆ เนื่องจากพลังงานอันแรงกล้าของดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ที่เคยมีอยู่มากมายลดจำนวนลง ช่วงเวลาการชนจึงห่างออกไปเรื่อย ๆ นอกจากนี้โลกยังมีมหาสมุทร มีน้ำ ทำให้หินหนืดเย็นลง อุณหภูมิโลกลดลง ขณะที่พื้นผิวโลกเย็นอากาศก็เย็นลงด้วย หมู่เมฆซึ่งลอยอยู่สูง 500 กิโลเมตรก็ค่อย ๆ ลดต่ำลง ณ จุดหนึ่ง อุณหภูมิโลกลดลงเหลือ 300 องศาเซลเซียส (ดาวเคราะห์ดวงอื่นไม่ลด) หมู่เมฆที่อุ้มน้ำไว้เริ่มสลายตัว ฝนตกลงมายังพื้นโลก อุณหภูมิของโลกก็ยิ่งลดลงไปอีก ฝนก็ยิ่งตกลงมาอีก วัฏจักรนี้วนเวียนไปต่อเนื่องจนน้ำท่วมผิวโลก โลกจึงมีมหาสมุทรเกิดขึ้น จากพัฒนาการโลก มหาสมุทรเกิดอย่างฉับพลัน ท้ายสุดหมู่เมฆยังกระจายทั่วไปช่วยกำบังแสงแดดที่ส่องลงถึงผิวโลก และน้ำในมหาสมุทรก็ระเหยขึ้นไปเป็นเมฆอีกต่อไปเป็นวัฏจักร ถ้าปราศจากมหาสมุทรและความเหมาะสม ความเหมาะเจาะ โลกก็คงจะมีสภาพเหมือนดาวศุกร์
| |||
หน้าที่
| |||
|
วิวัฒนาการ 6 บท |
|
บทที่ 1 1/6 กำเนิดและวิวัฒนาการของธรรมชาติ กำเนิดจักรวาล
ความคิดของนาย Friedman นักคณิตศาสตร์ชาวรัสเซีย
ทฤษฎี Big Bang กำเนิดสุริยะจักรวาล
กำเนิดโลก การแบ่งชั้นของโลก ร่องลึกในมหาสมุทร จำนวน
57 แ่ผ่น
คลิกค่ะ
|
|
บทที่ 2 2/6 กำเนิดสิ่งมีชีวิตชนิดแรก โมเลกุลของสารประกอบอินทรีย์
ชีวิตเกิดจากสิ่งไม่มีชีวิต การทดลองของเรดิ และหลุยส์ปาสเตอร์
แนวความคิดของอริสโตเติล Polymerization
เคลวิน นักชีวเคมีขาวเยอรมัน จำนวน
56 แ่ผ่น
คลิกค่ะ
|
|
บทที่ 3 3/6 Evolution เมื่อ 3900 ล้านปีก่อน
วิวัฒนาการคืออะไร นักอนุกรมวิธาน ทฤษฎีวิวัฒนาการ
นายลามาร์ค นาย ชาร์ล ดาร์วิน
กลไกการคัดเลือกโดยธรรมชาติ หมู่เกาะกาลาปากอส นายมัลทัส
จำนวน 40 แ่ผ่น
คลิกค่ะ
|
|
บทที่ 4 4/6 กลไกการวิวัฒนาการ สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว
การแปรผันทางพันธุกรรม เมนาลิซึมของผีเสื้อกลางคืน
การกระจายตัวของประชากรผีเสื้อ ผู้ถูกล่าและผู้ล่า จำนวน
28 แ่ผ่น
คลิกค่ะ
|
|
บทที่ 5 5/6 หลักฐานทางวิวัฒนาการ ความจริงที่เกิดขึ้นในอดีต
ซากดึกดำบรรพ์ นกกลุ่มที่บินไม่ได้ โครงสร้างของสิ่งมีชีวิต
สัตว์มีกระดูกสันหลัง ลำดับเบสบนสายดีเอ็นเอ การคัดเลือกพันธุ์
และความรู้ทางพันธุ์ศาสตร์ จำนวน 39 แ่ผ่น
คลิกค่ะ
|
|
บทที่ 6 6/6 หลักฐานทางวิวัฒนาการ ข้อแตกต่างระหว่างมนุษย์และลิง
สายวิวัฒนาการของมนุษย์ มนุษย์วานร สปีชีส์สุดท้าย ค้นพบฟอสซิลของมนุษย์
การแบ่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ จำนวน 37 แ่ผ่น
คลิกค่ะ
|
![]() |
![]() |
![]() |
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ฟิสิกส์ 1 | หนังสือฟิสิกส์ 1 ภาคกลศาสตร์ | หนังสือฟิสิกส์ 1 ภาค ของไหล ความร้อนและคลื่น |